บทที่ 15
การแต่งงานนิรันดร์
“ความบริบูรณ์และพรของฐานะปุโรหิตกับพระกิตติคุณเติบโตมาจากการแต่งงานซีเลสเชียล นี่คือศาสนพิธีสูงสุดของพระกิตติคุณและศาสนพิธีสูงสุดของพระวิหาร”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ วัย 18 ปีรับทราบว่าหญิงสาวชื่อลูอี เอมิลี เชิร์ทลิฟฟ์ จะมาอาศัยอยู่กับครอบครัวสมิธขณะที่เธอเข้าเรียนวิทยาลัย แต่ท่านรู้สึกประหลาดใจ—และพอใจ—เมื่อท่านกลับจากที่ทำงานวันหนึ่ง พบลูอีกำลังบรรเลงเพลงสวดที่เปียโนของครอบครัว นับจากวันนั้น ช่วงปลายฤดูร้อนปี 1894 โจเซฟกับลูอีได้พัฒนามิตรภาพที่ลึกซึ้งมากขึ้นทีละน้อยจนทั้งคู่ตกหลุมรักกัน ทั้งสองผนึกกันในพระวิหารซอลท์เลควันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 18981
ลูอีกับโจเซฟมีความสุขกับสัมพันธภาพที่เปี่ยมด้วยความรัก เมื่อท่านได้รับเรียกให้รับใช้งานเผยแผ่สองปีในประเทศอังกฤษไม่นานหลังจากทั้งสองแต่งงานกันแล้ว ลูอีทำงานให้บิดาเธอเพื่อหาทุนสนับสนุนโจเซฟ เธอสนับสนุนท่านทั้งทางอารมณ์และวิญญาณโดยส่งจดหมายให้กำลังใจแก่ท่าน หลังจากท่านกลับมา ทั้งสองสร้างบ้านแห่งความสุขและต้อนรับลูกสาวสองคนเข้าสู่ครอบครัว แต่หลังจาก 10 ปีของการแต่งงาน ลูอีป่วยหนักในช่วงตั้งครรภ์ครั้งที่สามและถึงแก่กรรมด้วยวัย 31 ปี
โจเซฟพบการปลอบโยนในความเชื่อมั่นว่าลูอีจากไปสู่ “โลกที่ดีกว่า” ท่านบันทึกการสวดอ้อนวอนในบันทึกส่วนตัวว่าท่านจะ “ทำตัวให้มีค่าควรเพื่อพบเธอในรัศมีภาพนิรันดร์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับเธออีกครั้ง”2แม้จะพบการปลอบโยนและความหวังในพระกิตติคุณ แต่ท่านยังคงคิดถึงลูอีแทบขาดใจ อีกทั้ง เป็นห่วงบุตรสาวที่ไม่มีมารดาอยู่ด้วยที่บ้าน ไม่นานหลังจากลูอีถึงแก่กรรม โจเซฟได้พบกับเอเธล จอร์จินา เรย์โนลด์ส ถึงแม้ว่าท่านยังคงมีความรักให้ลูอีไม่เสื่อมคลาย แต่ท่านก็รักเอเธล บุตรสาวท่านก็รักเธอเช่นกัน ด้วยความเห็นชอบจากบิดามารดาท่าน บิดามารดาของลูอี และบิดามารดาของเอเธล โจเซฟจึงขอเอเธลแต่งงาน พวกท่านผนึกกันเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1908 ทั้งสองครองคู่กันอย่างมีความสุขและเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่มีความหมายพร้อมกับลูกๆ อีกเก้าคน บ้านของท่านทั้งสองมีลักษณะเด่นด้วยระเบียบ งานหนัก ความเคารพ ความสะอาด การอบรมบ่มนิสัยอย่างอ่อนโยน ความรัก และความสนุกสนานที่ดีงาม3
หลังจาก 29 ปีของการแต่งงาน เอเธลถึงแก่กรรมด้วยอาการอ่อนแรงที่บั่นทอนพละกำลังเธอนานถึง 4 ปี โจเซฟจึงโดดเดี่ยวอีกครั้ง แต่ยังได้รับการปลอบโยนโดยความเชื่อมั่นของการแต่งงานนิรันดร์4 และอีกครั้งที่ ท่านได้พบใครบางคนซึ่งท่านจะใช้ชีวิตด้วยได้ ท่านกับเจสซี อีแวนส์ผนึกกันวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1938 “ช่วงเวลา 33 ปีที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เจสซีไปไหนมาไหนกับท่านทุกหนแห่ง ทั้งใกล้และไกล ท่านช่วยเธอจ่ายตลาด เช็ดจานอาหารว่าง และบรรจุน้ำผลไม้ลงขวดในฤดูใบไม้ร่วง ท่านไม่อึดอัดเกี่ยวกับการเป็นอัครสาวกในชุดกันเปื้อน”5 เจสซีพูดถึงสามีบ่อยๆ ว่า “เขาเป็นผู้ชายใจดีที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยรู้จัก ดิฉันไม่เคยได้ยินเขาเอ่ยคำปรามาสเลย” เขาจะตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ผมไม่รู้จักคำปรามาสอะไรนั่นเลย”6
จอห์น เจ. สตูวาร์ท นักชีวประวัติเขียนถึงความสุภาพและความกรุณาที่ประธานสมิธมีต่อเจสซีว่า “จากแท่นพูด ท่านเตือนสามีทั้งหลายให้รักและอุทิศตนแก่ภรรยา แต่โอวาทที่ตรึงใจผมคือเมื่อท่านเดินไปตามถนนที่ลาดชันของซอลท์เลคซิตี้เป็นระยะเก้าช่วงตึก ไปยังโรงพยาบาลวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ในวันที่อากาศร้อนของเดือนกรกฎาคม ปี 1971 และใช้เวลาในวันเกิดปีที่ 95 ของท่านนั่งอยู่ข้างๆ เจสซี ภรรยาที่ล้มป่วย ขณะอาการของเธอทรุดหนัก ท่านอยู่เคียงข้างเธอทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เฝ้าดูแลเธอ ปลอบโยนเธอและให้กำลังใจเธอเท่าที่ท่านจะให้ได้ตราบจนสิ้นใจ”7
เจสซีถึงแก่กรรมวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1971 สองเดือนต่อมา ประธานสมิธกล่าวคำปราศรัยเปิดการประชุมใหญ่สามัญ ประจักษ์พยานของท่านแสดงให้เห็นว่าความโศกเศร้าของท่านบรรเทาลงโดยความวางใจในพระเจ้าและความหวังสำหรับชีวิตนิรันดร์
“ข้าพเจ้าขอกล่าวเช่นเดียวกับโยบในสมัยโบราณ ซึ่งความรู้ของท่านมาจากแหล่งเดียวกันกับข้าพเจ้าว่า ‘แต่ข้าเองทราบว่า พระผู้ไถ่ของข้าทรงพระชนม์อยู่ และในที่สุดพระองค์จะทรงปรากฏบนแผ่นดินโลก’ และ ‘ในเนื้อหนังของข้า ข้าจะเห็นพระเจ้า ผู้ซึ่งข้าจะได้เห็นเอง และดวงตาข้าจะได้เห็น …’ (โยบ 19:25–27)
“และขณะที่ข้าพเจ้าผสานประจักษ์พยานของข้าพเจ้ากับโยบแล้ว ข้าพเจ้าขอร่วมน้อมขอบพระทัยกับท่าน เพราะเสียงร้องนั้นเปล่งออกมาจากความปวดร้าวและโทมนัสของจิตวิญญาณท่าน ‘… [พระเจ้า]ประทาน และ [พระเจ้า] ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนาม [พระเจ้า]’ (โยบ 1:21)
“ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราทุกคนได้รับการนำทางโดยอำนาจพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ให้เราดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงต่อพระพักตร์พระเจ้า เพื่อเราจะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดกในที่ประทับและอาณาจักร ซึ่งเตรียมไว้สำหรับคนที่เชื่อฟัง”8
หลังคำปราศรัยของประธานสมิธ ประธานฮาโรลด์ บี. ลี ผู้ดำเนินการประชุมกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าสมาชิกทุกคนของศาสนจักรทุกหนแห่ง โดยตระหนักถึงสภาพการณ์ในข่าวสารอันมีพลังที่ท่านกล่าวมานี้ จะได้รับการหนุนใจอย่างมากโดยพลังอำนาจและความเข้มแข็งที่ท่านแสดงให้ประจักษ์ต่อเราที่นี่ ในเช้านี้ ขอขอบคุณประธานสมิธ จากส่วนลึกสุดของใจเรา”9
คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
การแต่งงานซีเลสเชียลเป็นศาสนพิธีสูงสุดในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
ไม่มีศาสนพิธีใดที่เกี่ยวข้องกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์จะมีความสำคัญ มีลักษณะอันทรงเกียรติและศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งจำเป็นต่อความสุขนิรันดร์ [ของเรา] … มากไปกว่าการแต่งงาน10
ความบริบูรณ์และพรของฐานะปุโรหิตและพระกิตติคุณเติบโตมาจากการแต่งงานซีเลสเชียล นี่เป็นศาสนพิธีสูงสุดของพระกิตติคุณและศาสนพิธีสูงสุดของพระวิหาร11
ข้าพเจ้าอยากวิงวอนให้พี่น้องและสมาชิกที่ดีทั้งหลายของศาสนจักรไปแต่งงานในพระวิหารเพื่อกาลเวลาและชั่วนิจนิรันดร์12
2
นี่คือสิ่งตรงกันข้ามกับวิธีปฏิบัติของโลก การแต่งงานยั่งยืนตลอดกาลในแผนพระกิตติคุณ
ผู้คนมากมายถือว่าการแต่งงานเป็นสัญญาหรือข้อตกลงทางนิตินัยระหว่างชายกับหญิง ที่จะอยู่ด้วยกันในสัมพันธภาพการแต่งงาน อันที่จริง นี่คือหลักธรรมนิรันดร์ที่มนุษยชาติเชื่อถือ พระเจ้าประทานกฎนี้แก่มนุษย์นับแต่กาลเริ่มต้นของโลกโดยเป็นส่วนหนึ่งในกฎพระกิตติคุณ และการแต่งงานครั้งแรกจะต้องยั่งยืนตลอดกาล ตามกฎของพระเจ้า การแต่งงานทั้งหมดจะยั่งยืนตลอดกาล ถ้ามนุษยชาติทั้งปวงดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระกิตติคุณอย่างเคร่งครัด และในความรักนั้นซึ่งบังเกิดโดยพระวิญญาณของพระเจ้า การแต่งงานทั้งหมดย่อมเป็นนิรันดร์ …
… การแต่งงานดังที่วิสุทธิชนเข้าใจ คือพันธสัญญาที่ได้รับแต่งตั้งไว้เป็นนิจ นี่คือรากฐานสำหรับความสูงส่งนิรันดร์ เพราะหากปราศจากสิ่งนี้ ก็จะไม่มีความก้าวหน้านิรันดร์ในอาณาจักรของพระผู้เป็นจ้า13
สิ่งนี้ประจักษ์ต่อเราทุกคน ผู้ที่อ่านหนังสือพิมพ์ ผู้ที่ฟังรายงานข่าวทางวิทยุ และผู้ที่ดูสื่อทางโทรทัศน์ ว่ามีมากมายเหลือเกินที่ไม่รักษาชีวิตแต่งงานและหน่วยครอบครัวด้วยความเคารพซึ่งพระเจ้าทรงคาดหวังไว้14
การแต่งงานเป็นพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ ทว่าในหลายเหตุการณ์ เป็นเรื่องล้อเลียนที่หยาบโลน ตลกโปกฮา โดยคนหยาบคายและมีมลทิน และก็เช่นกัน โดยคนมากมายที่คิดว่าตนเองสุภาพเรียบร้อย แต่มิได้เข้าใจความศักดิ์สิทธิ์ของหลักธรรมที่ยิ่งใหญ่นี้15
พระเจ้าประทานพระกิตติคุณอันเป็นนิจแก่เราเพื่อเป็นแสงสว่างและเป็นมาตรฐานให้เรา พระกิตติคุณนี้รวมถึงระเบียบของการแต่งงานอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นนิรันดร์มาแต่เดิม เราไม่ควรและต้องไม่ทำตามวัฒนธรรมการแต่งงานของโลก เรามีความสว่างมากกว่าที่โลกมี พระเจ้าทรงคาดหวังจากเรามากกว่าที่ทรงคาดหวังจากพวกเขา
เราทราบว่าระเบียบการแต่งงานที่แท้จริงคืออะไร เราทราบจุดประสงค์ของหน่วยครอบครัวในแผนแห่งความรอด เราทราบว่าเราควรแต่งงานในพระวิหาร และเราต้องรักษาตนให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อให้ได้รับการผนึกจากความเห็นชอบของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งคำสัญญาในสัมพันธภาพการแต่งงานของเรา
เราเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระบิดานิรันดร์ ผู้ทรงแต่งตั้งแผนแห่งความรอดเพื่อเราจะมายังแผ่นดินโลก เจริญก้าวหน้าและเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์ทรงจัดเตรียมแผนพระกิตติคุณ ซึ่งจะทำให้เราสามารถมีหน่วยครอบครัวนิรันดร์ของเราเองและได้รับชีวิตนิรันดร์16
พระเจ้ามิได้ทรงประสงค์ให้การแต่งงานสิ้นสุดลงที่ความตายของร่างกายมรรตัย แต่จะทรงเพิ่มเกียรติ อำนาจการปกครอง พลังอำนาจแก่ผู้ทำพันธสัญญา ผู้ที่ดำเนินต่อไป และเอกภาพนิรันดร์ของครอบครัวในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า พรดังกล่าวจึงสงวนไว้ให้คนที่เต็มใจยึดมั่นพันธสัญญานี้ตามที่พระเจ้าทรงเปิดเผย สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสัมพันธภาพระหว่างชายหญิง เพราะพระเจ้าตรัสว่า ในการแต่งงาน เขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกันและเป็นหุ้นส่วนกับพระผู้เป็นเจ้า 17
3
ความซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาการแต่งงานนำมาซึ่งความสุขและนำไปสู่พรแห่งรัศมีภาพนิรันดร์
ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระเจ้าสำหรับความรู้เรื่องนิรันดรของพันธสัญญาการแต่งงาน ซึ่งประทานสิทธิ์แก่สามีที่จะอ้างสิทธิ์ในภรรยา และสิทธิ์แก่ภรรยาที่จะอ้างสิทธิ์ในสามีในโลกที่จะมาถึง ซึ่งเตรียมให้พวกเขาไปยังพระนิเวศน์ของพระเจ้าและรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อกาลเวลาและชั่วนิจนิรันดร์ โดยผู้ดำรงอำนาจการผนึกนี้ เพราะไม่มีทางใดที่จะรับพรอันยิ่งใหญ่นี้ได้อีกแล้ว ข้าพเจ้าขอบพระทัยสำหรับความรู้ที่ว่าสัมพันธภาพครอบครัวและความเป็นเอกภาพของครอบครัวจะดำเนินต่อไป โดยได้รับการจัดตั้งอย่างถูกต้องด้วยความชอบธรรมในชีวิตที่จะมาถึง18
ข้าพเจ้าอยากวิงวอนผู้ที่เคยไปพระวิหารและแต่งงานแล้วให้ซื่อสัตย์และแน่วแน่ต่อพันธสัญญาและพันธรับผิดชอบของพวกเขา เพราะพวกเขาทำพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า19
ไม่มีสิ่งใดจะเตรียมมนุษยชาติให้พร้อมรับรัศมีภาพในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าได้เท่ากับความซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาการแต่งงาน …
หากการรับพันธสัญญานี้อย่างถูกต้องเป็นที่มาของความสุขอันล้ำเลิศ เกียรติยศสูงสุดในชีวิตนี้และในชีวิตที่จะมาถึง เกียรติ อำนาจในการปกครอง และพลังอำนาจในความรักที่สมบูรณ์แบบ คือพรที่มาจากพันธสัญญานั้น พรแห่งรัศมีภาพนิรันดร์เหล่านี้จึงสงวนไว้สำหรับคนที่เต็มใจยึดมั่นในสิ่งนี้และพันธสัญญาทั้งหมดของพระกิตติคุณ 20
การแต่งงานมีความหมายอย่างไรต่อสมาชิกของศาสนจักร การแต่งงานหมายความว่าพวกเขากำลังรับพรสูงสุด ยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสนพิธีนั้น พรแห่งชีวิตนิรันดร์ บัดนี้ นั่นคือวิธีที่พระเจ้าทรงวางไว้ “บรรดาชีวิตนิรันดร์” ซึ่งหมายความว่าไม่เพียงสามีกับภรรยาเท่านั้นที่จะเข้าไปในชีวิตนิรันดร์ แต่บุตรธิดาของพวกเขาที่เกิดภายใต้พันธสัญญาจะมีสิทธิ์นั้นเช่นกัน โดยผ่านความซื่อสัตย์ไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ยิ่งกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยาจะไม่มาถึงจุดสิ้นสุดหลังการฟื้นคืนชีวิตของคนตาย โดยทางนั้นพระเจ้าทรงหมายความว่าพวกเขาจะยังคงดำเนินพงศ์พันธุ์ต่อเนื่องไปตลอดกาล และองค์กรครอบครัวจะไม่มาถึงจุดสิ้นสุด [ดู คพ. 132:19–24]21
เพื่อทำให้พระประสงค์พระบิดานิรันดร์สัมฤทธิผล จึงต้องมีการรวมกัน สามีกับภรรยาจะได้รับพรที่สัญญาไว้กับบรรดาคนซื่อสัตย์และแน่วแน่อันจะทำให้พวกเขาบรรลุถึงความเป็นพระผู้เป็นเจ้า ผู้ชายไม่สามารถรับความบริบูรณ์ของพรแห่งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว สตรีก็เช่นกัน แต่ทั้งคู่จะรับพรและสิทธิพิเศษที่เกี่ยวกับความบริบูรณ์แห่งอาณาจักรของพระบิดาได้22
4
ทุกจิตวิญญาณที่มีใจถูกต้องจะมีโอกาสรับพรของการแต่งงานนิรันดร์ ไม่ว่าจะในชีวิตนี้หรือชีวิตหน้า
ไม่มีสิ่งใดถูกมองข้ามในแผนแห่งความรอด พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือสิ่งสวยงามที่สุดในโลก พระกิตติคุณโอบอุ้มทุกจิตวิญญาณที่มีใจถูกต้อง ผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยความขยันหมั่นเพียร และปรารถนาจะเชื่อฟังกฎและพันธสัญญาของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ หากบุคคลหนึ่ง ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ปฏิเสธเอกสิทธิ์ของการปฏิบัติตามพันธสัญญาใดๆ พระเจ้าจะทรงตัดสินเขาตามเจตนาของใจ มีสมาชิกศาสนจักรหลายพันคน [ไม่ได้เข้าพระวิหาร] ผู้ที่แต่งงานและเติบโตในศาสนจักร ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิพิเศษแห่งการผนึกเพื่อกาลเวลาและชั่วนิจนิรันดร์ หลายคนล่วงลับไปแล้ว และได้รับพรจากตัวแทน พระกิตติคุณเป็นงานทำแทน พระเยซูทรงกระทำแทนเราเพราะเราไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ในทำนองเดียวกัน พระองค์ทรงให้สมาชิกศาสนจักรที่มีชีวิตอยู่กระทำในฐานะตัวแทนผู้วายชนม์ ผู้ที่ตายโดยไม่มีโอกาสกระทำด้วยตนเอง
นอกจากนี้ มีชายหนุ่มและหญิงสาวหลายพันคน ผู้ที่ล่วงหน้าไปสู่โลกแห่งวิญญาณโดยไม่มีโอกาสรับพรเหล่านี้ หลายคนพลีชีพในสนามรบ หลายคนสิ้นชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ และอีกหลายคนสิ้นชีวิตเมื่อยังเด็ก พระเจ้าไม่ทรงลืมใครเลยแม้แต่คนเดียว พรทั้งหมดที่เป็นของความสูงส่งจะทรงมอบให้พวกเขา เพราะนี่คือวิถีแห่งความยุติธรรมและความเมตตา เช่นเดียวกับคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่ในสเตคของไซอันและในร่มเงาพระวิหาร หากพวกเขาถูกเพิกถอนพรในชีวิตนี้ พวกเขาจะได้รับพรดังกล่าวในช่วงมิลเลเนียม23
ไม่มีใครเพิกถอนความสูงส่งจากผู้ที่ดำรงความซื่อสัตย์ได้ … สามีที่ไม่คู่ควรไม่อาจรั้งภรรยาที่ซื่อสัตย์จากความสูงส่งและภรรยาก็เช่นกัน24
5
เด็กๆ และวัยรุ่นเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงานนิรันดร์ ขณะพวกเขาเรียนรู้เกี่ยวกับพันธสัญญาการแต่งงาน พัฒนาศรัทธาที่มั่นคง และรักษาตนให้สะอาดบริสุทธิ์
ขอให้บิดามารดาวิสุทธิชนยุคสุดท้ายทุกคนดูว่าพวกเขาสอนบุตรธิดาถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพันธสัญญาการแต่งงาน ให้พวกเขาสร้างความประทับใจแก่ลูกๆ ว่าไม่มีทางอื่นใดนอกจากการให้เกียรติพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพันธสัญญาของการแต่งงานนิรันดร์คือสิ่งสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พวกเขาสามารถรับพรของชีวิตนิรันดร์ได้25
ชีวิตนี้สั้นและนิรันดรยาวนาน เมื่อเราพิจารณาว่าพันธสัญญาการแต่งงานจะยั่งยืนตลอดกาล เป็นเรื่องดีที่จะพิจารณาด้วยความถี่ถ้วน … คำแนะนำที่เหมาะสมแก่เยาวชนของเราคือ ให้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงมุมมองการเลือกคู่ที่ดีที่มีศรัทธามั่นคงในพระกิตติคุณ คนเช่นนี้มีแนวโน้มจะพิสูจน์ความแน่วแน่ต่อคำปฏิญาณและพันธสัญญาได้ดีกว่า เมื่อชายหนุ่มและหญิงสาวเข้าใจถ่องแท้ในพันธกิจจากเบื้องบนของพระเจ้าและเชื่อพระกิตติคุณดังที่เปิดเผยผ่านโจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์ โอกาสที่จะครองคู่อย่างมีความสุขนั้นจะยั่งยืนตลอดกาล26
ข้าพเจ้าวิงวอนท่าน เยาวชนของไซอันทุกแห่งหน จงรักษาตนให้สะอาดบริสุทธิ์เพื่อท่านจะมีสิทธิ์เข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้า พร้อมกับคู่ที่ท่านได้เลือกแล้ว จงมีความสุขกับพรทุกประการที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน27
อีกสิ่งหนึ่ง … ที่ข้าพเจ้าอยากให้—คนหนุ่มสาวเอาใจใส่ เมื่อแต่งงานกัน พวกเขามักไม่พอใจที่จะเริ่มต้นด้วยทรัพย์สินเพียงน้อยนิด แต่พวกเขาอยากได้รับเท่าเทียมกับที่บิดามารดาของพวกเขามีในเวลานั้นที่ลูกๆ แต่งงาน … พวกเขาต้องการเริ่มจากความสะดวกสบายทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อสร้างความสบายใจแก่พวกเขา ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นความคิดที่ผิด ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเขาควรเริ่มจากจุดเล็กๆ วางศรัทธาในพระเจ้า สร้างตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อยเท่าที่ทำได้ เก็บหอมรอมริบจนพวกเขาสามารถเข้าถึงจุดของความรุ่งเรืองดังที่พวกเขาปรารถนา28
6
เมื่อสามีกับภรรยาถือรักษาศาสนพิธีและหลักธรรมพระกิตติคุณอย่างซื่อสัตย์ ปีติในการแต่งงานจะยิ่งหวานชื่นกว่าเดิม
การแต่งงานได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นหลักธรรมที่ชอบธรรมเมื่อได้รับและปฏิบัติในความศักดิ์สิทธิ์ หากชายหญิงทุกวันนี้จะเข้าสู่พันธสัญญาในวิญญาณของความอ่อนน้อมถ่อมตน ความรักและศรัทธา ดังที่พวกเขาได้รับบัญชาให้ทำ ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมในวิถีแห่งชีวิตนิรันดร์ จะไม่มีการหย่าร้าง ไม่มีครอบครัวแตกแยก แต่มีความสุขและปีติเกินจะพรรณนา29
ข้าพเจ้าต้องการให้พี่น้องที่ดีของข้าพเจ้าทุกคนผู้ที่แต่งงานในพระวิหารจดจำว่าพวกเขาไม่ควรลืมพรอันยิ่งใหญ่ซึ่งประทานแก่พวกเขา ว่าพระเจ้าประทานสิทธิโดยผ่านความซื่อสัตย์ของพวกเขา ที่จะเป็นบุตรธิดาของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ ครอบครองทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมี ตามที่กล่าวไว้ ณ ที่นี้ [อ้างอิง โรม 8:13–19 และ หลักคำสอนและพันธสัญญา 76:54–60]
แต่มีสมาชิกของศาสนจักรที่ล้มเหลวในการเข้าใจสิ่งนี้และหลังจากการแต่งงานเพื่อกาลเวลาและชั่วนิจนิรันดร์ … ได้รับสัญญาของความบริบูรณ์แห่งอาณาจักรของพระบิดาแล้ว พวกเขากลับยอมให้สิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิต ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งและแยกพวกเขาออกจากกัน พวกเขาหลงลืมไปว่าได้ทำพันธสัญญาเพื่อกาลเวลาและชั่วนิจนิรันดร์ต่อกัน ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังทำพันธสัญญากับพระบิดาในสวรรค์ของพวกเขาอีกด้วย30
หากชายกับภรรยาของเขาถือรักษาศาสนพิธีและหลักธรรมของพระกิตติคุณทั้งหมดด้วยความตั้งใจจริงและซื่อสัตย์ ย่อมไม่มีเหตุให้หย่าร้างกันได้ ปีติและความสุขที่เกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพการแต่งงานนั้นจะหวานชื่นยิ่งกว่าเดิม สามีกับภรรยาจะแนบแน่นต่อกันมากขึ้นเมื่อวันเวลาผ่านไป สามีไม่เพียงรักภรรยาและภรรยารักสามีเท่านั้น แต่ลูกๆ ที่เกิดกับพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในบรรยากาศแห่งความรักความปรองดอง ความรักที่มีให้กันจะไม่มีวันจืดจาง และนอกจากนี้ ความรักทั้งหมดที่มีต่อพระบิดานิรันดร์และพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์จะหยั่งรากลึกฝังแน่นในจิตวิญญาณพวกเขามากขึ้นด้วย31
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
บทนี้เริ่มด้วยตัวอย่างของปีติและความโศกเศร้าที่อาจเป็นส่วนหนึ่งในการแต่งงานและชีวิตครอบครัว หลักคำสอนเรื่องครอบครัวนิรันดร์ค้ำจุนเราอย่างไร เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขและความเศร้าในชีวิต
-
อะไรที่ทำให้การแต่งงานซีเลสเชียลเป็น “ศาสนพิธีสูงสุดของพระวิหาร” (ดู หัวข้อที่ 1)
-
ประธานสมิธแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างมุมมองของพระเจ้ากับมุมมองของโลกเรื่องการแต่งงาน (ดู หัวข้อที่ 2) อะไรคือสิ่งสำคัญต่อท่านเกี่ยวกับความแตกต่างนี้ เราจะปกป้องคุ้มครองการแต่งงานและครอบครัวในโลกทุกวันนี้ได้อย่างไร
-
ในหัวข้อที่ 3 ประธานสมิธระบุพรอย่างน้อยห้าประการที่มาสู่คน “ซื่อสัตย์และแน่วแน่” ต่อพันธสัญญาการแต่งงาน การเป็นคนซื่อสัตย์และแน่วแน่ต่อพันธสัญญาการแต่งงานมีความหมายต่อท่านอย่างไร
-
บิดามารดาทำอะไรได้บ้างในการ “สอนบุตรธิดาถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพันธสัญญาการแต่งงาน” (สำหรับแนวคิดบางประการ ดู หัวข้อที่ 5)
-
ในหัวข้อที่ 6 ประธานสมิธอธิบายว่าสัมพันธภาพการแต่งงานจะ “หวานชื่นยิ่งกว่าเดิม” ได้อย่างไร ท่านเคยเห็นตัวอย่างอะไรบ้างของหลักธรรมนี้ หากท่านแต่งงานแล้ว ให้นึกถึงสิ่งที่ท่านทำได้เพื่อนำปีติและความรักมาสู่ชีวิตแต่งงานของท่านให้มากกว่าเดิม
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“คำถามที่เขียนบนกระดานก่อนเริ่มชั้นเรียนจะช่วยให้ผู้เรียนเริ่มนึกถึงหัวข้อต่างๆ ก่อนบทเรียนจะเริ่ม” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999] หน้า 93)