บทที่ 10
การแสวงหาความจริงของเรา
“นี่เป็นข้อเรียกร้องจากเราซึ่งเป็นสมาชิกศาสนจักรแห่งนี้ ในการทำให้ตัวเราคุ้นเคยกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผย เพื่อเราจะได้ไม่ถูกนำออกไปนอกทาง … เราจะดำเนินชีวิตตามความจริงได้อย่างไรหากเราไม่รู้จักความจริง”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
สมัยที่โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธอายุแปดขวบ บิดาให้พระคัมภีร์มอรมอนแก่ท่านและขอให้ท่านอ่าน “ข้าพเจ้ารับบันทึกของชาวนีไฟเล่มนี้ด้วยความขอบคุณ” ท่านกล่าวต่อมาว่า “และทำงานที่มอบหมายแก่ข้าพเจ้าเสร็จสมบูรณ์” ความรักที่ท่านมีต่อพระคัมภีร์สร้างแรงจูงใจให้ท่านทำภารกิจเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วและบางครั้งถึงกับออกจากการแข่งขันเบสบอลก่อนเวลาเพื่อจะได้หาสถานที่สงบอ่านพระคัมภีร์ หลังจากได้รับของขวัญชิ้นนี้จากบิดาไม่ถึงสองปี ท่านอ่านไปแล้วสองรอบด้วยกัน ในการศึกษาช่วงแรกๆ ท่านกล่าวต่อมาว่า “มีบางข้อความที่ประทับใจข้าพเจ้าไม่รู้ลืม”1 ท่านอ่านหนังสือเล่มอื่นๆ ด้วยเช่นกัน “ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือที่จัดทำสำหรับเด็กปฐมวัยและโรงเรียนวันอาทิตย์สำหรับเด็กในช่วงเริ่มแรก” ท่านกล่าว “ข้าพเจ้ามักถือหนังสือไว้ในมือเวลาอยู่บ้าน … ต่อมา ข้าพเจ้าอ่านประวัติศาสนจักรที่บันทึกไว้ใน Millennial Star ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์ไบเบิล พระคัมภีร์มอรมอน ไข่มุกอันล้ำค่า หลักคำสอนและพันธสัญญา และวรรณกรรมอื่นๆ ที่ข้าพเจ้ามีอยู่”2
ประธานสมิธยังคงใฝ่ศึกษาหาความรู้ในพระกิตติคุณตลอดชีวิตท่าน ขณะเรียนรู้ความจริงของพระกิตติคุณ ท่านแบ่งปันและปกป้องพระกิตติคุณเมื่อจำเป็น สามปีหลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นอัครสาวก ท่านได้รับพรฐานะปุโรหิตที่รวมถึงคำแนะนำต่อไปนี้ “ท่านได้รับพรด้วยความสามารถที่จะเข้าใจ วิเคราะห์ และปกป้องหลักธรรมแห่งความจริงมากกว่าเพื่อนผู้รับใช้ของท่านหลายคน และจะถึงเวลานั้นเมื่อพยานหลักฐานที่เพิ่มพูนจากการรวบรวมของท่านจะเป็นกำแพงป้องกันและต่อต้านผู้หมายมั่นและพยายามทำลายพยานหลักฐานความศักดิ์สิทธิ์ในพันธกิจของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ ในการปกป้องนี้ ท่านจะไม่มีวันจำนน ความสว่างของพระวิญญาณจะฉายรัศมีในใจท่านอย่างนุ่มนวลดุจน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ และจะเปิดเผยความจริงหลายประการให้แก่ความเข้าใจของท่านเกี่ยวกับงานนี้”3 ท่านแน่วแน่ต่อถ้อยคำเชิงพยากรณ์ดังกล่าว ในฐานะนักวิชาการพระกิตติคุณ ครู และนักเขียน ท่านทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียรเพื่ออธิบายและปกป้องหลักคำสอนแห่งความรอด ครั้งหนึ่ง ประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์เคยเรียกท่านว่า “บุรุษผู้รอบรู้พระคัมภีร์มากที่สุด” ในบรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ทุกท่าน 4
จวบจนบั้นปลายชีวิตของประธานสมิธ ท่านมักจะตรึกตรองถึงพรที่ท่านได้รับโดยผ่านการศึกษาพระกิตติคุณของท่าน ดังนี้
“ตลอดชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าศึกษาไตร่ตรองหลักธรรมพระกิตติคุณและพยายามดำเนินชีวิตตามกฎของพระเจ้า ผลที่เกิดขึ้นในใจข้าพเจ้าเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ที่ข้าพเจ้ามีต่อพระองค์และงานของพระองค์ตลอดจนคนทั้งปวงที่พยายามส่งเสริมพระประสงค์ของพระองค์ในโลก”5
“ตลอดวันเวลาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าศึกษาพระคัมภีร์และแสวงหาการนำทางจากพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริง พระเจ้าทรงเมตตาข้าพเจ้า และข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในความรู้ที่พระองค์ประทานแก่ข้าพเจ้า สิทธิพิเศษที่ข้าพเจ้าได้รับและที่เป็นของข้าพเจ้าทั้งก่อนหน้านี้และเวลานี้ในการสอนหลักธรรมแห่งการช่วยให้รอดของพระองค์” 6
คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
เราควรแสวงหาความจริงในหลายๆ ด้าน แต่ความรู้ที่สำคัญที่สุดคือความรู้ด้านพระกิตติคุณ
เราเชื่อในการศึกษา ในฐานะคนๆ หนึ่ง เราแสวงหาการเรียนรู้อยู่เสมอในทุกด้าน และในฐานะศาสนจักร เราใช้เงินจำนวนมหาศาลและเสียสละค่อนข้างมากเพื่อสร้างโอกาสการศึกษาให้สมาชิกศาสนจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาและงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ในทุกวันนี้ เราคิดว่าคนหนุ่มสาวของเราควรได้รับการศึกษาและการอบรมทางเทคนิคต่างๆ ให้รอบรู้มากเท่าที่จะจำเป็น
แต่เราคิดว่าการแสวงหาการเรียนรู้ทางโลกเช่นนี้ควรควบคู่ไปกับการแสวงหาความเข้าใจทางวิญญาณ การมีความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้าและกฎของพระองค์ เพื่อเราจะทำสิ่งที่นำมาซึ่งความรอดได้นั้นสำคัญกว่าการมีความรู้ทางโลกทั้งหมดที่จะมีได้เป็นพันเท่า7
ทุกคนควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทุกวัน พวกท่านมีใจที่ใฝ่รู้และกำลังแสวงหาความจริงในหลายๆ ด้าน ข้าพเจ้าหวังอย่างจริงใจว่าการค้นคว้าที่สำคัญที่สุดของท่านจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทางวิญญาณ เพราะสิ่งนั้น เราสามารถได้รับความรอดและสร้างความก้าวหน้าที่นำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรของพระบิดา
ความรู้ที่สำคัญที่สุดในโลกคือความรู้พระกิตติคุณ นี่คือความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้าและกฎของพระองค์ เรื่องสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ต้องทำให้ความรอดเกิดขึ้นกับพวกเขาด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นต่อพระพักตร์พระเจ้า [ดู ฟิลิปปี 2:12; มอรมอน 9:27]8
ไม่ใช่ความจริงทุกเรื่องที่มีคุณค่าหรือความสำคัญเท่าเทียมกัน ความจริงบางเรื่องยิ่งใหญ่กว่าเรื่องอื่น ความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องเดียวหรือหลายเรื่อง เราพบในพื้นฐานพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ประการแรก พระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ไถ่ของโลก ผู้เสด็จมาในโลกเพื่อสิ้นพระชนม์ให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ เราควรรู้ความจริงนั้น การมีความรู้ว่าพระเยซูคริสต์คือพระผู้ไถ่ของเรา พระองค์ประทานหลักธรรมแห่งชีวิตนิรันดร์แก่เราเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าการมีความรู้ทุกอย่างที่จะรู้ได้ในการศึกษาของโลก 9
ตามปรัชญาและปัญญาของโลก สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรเว้นแต่จะสอดคล้องกับพระวจนะที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยไว้ หลักคำสอนทุกอย่าง ไม่ว่าจะในนามศาสนา วิทยาศาสตร์ ปรัชญา หรืออะไรก็ตาม ถ้าขัดแย้งกับพระคำที่พระเจ้าทรงเปิดเผยไว้ ย่อมล้มเหลว อาจฟังดูมีเหตุมีผล อาจใช้ภาษาที่ทำให้ท่านตอบไม่ได้ หรืออาจมีหลักฐานชี้แจงที่ท่านไม่อาจแย้งได้ แต่ทั้งหมดที่ท่านต้องทำคือใช้เวลา เวลาจะแก้ไขทุกสิ่ง ท่านจะพบว่าหลักคำสอนทุกอย่าง หลักธรรมทุกประการ ไม่สำคัญว่าจะเป็นที่เชื่อถือโดยทั่วไปมากเพียงไร หากไม่เป็นไปตามถ้อยคำจากเบื้องบนของพระเจ้าที่ประทานแก่ผู้รับใช้ ย่อมล้มเหลว อีกทั้งไม่จำเป็นที่เราจะขยายความพระคำของพระเจ้าด้วยความพยายามอันเปล่าประโยชน์เพื่อทำให้สอดคล้องกับทฤษฎีและคำสอนเหล่านี้ พระคำของพระเจ้าจะไม่ผ่านไปโดยไม่มีสัมฤทธิผล แต่หลักคำสอนและทฤษฎีผิดๆ เหล่านี้จะล้มเหลวทั้งหมด ความจริง ความจริงเท่านั้น จะคงอยู่เมื่อสิ่งอื่นๆ ล้มเหลว10
2
พระเจ้าทรงบัญชาเราให้ค้นคว้าพระคัมภีร์
พระเจ้าทรงบัญชาสมาชิกศาสนจักรในทุกวันนี้ให้แสวงหาพระองค์โดยการสวดอ้อนวอน โดยศรัทธาและการศึกษา เราได้รับบัญชาให้ศึกษาพระบัญญัติที่ประทานแก่เราในหลักคำสอนและพันธสัญญา ในพระคัมภีร์มอรมอนและในพระคัมภีร์ทุกเล่ม พร้อมกับทรงสัญญาว่า “หลักธรรมแห่งความรู้แจ้งขั้นใดก็ตามที่เราบรรลุในชีวิตนี้, จะลุกขึ้นพร้อมกับเราในการฟื้นคืนชีวิต. และหากคนคนหนึ่งได้ความรู้และความรู้แจ้งเพิ่มขึ้นในชีวิตนี้โดยผ่านความขยันหมั่นเพียรและการเชื่อฟังของเขายิ่งกว่าอีกคนหนึ่งเท่าใด, เขาก็จะเหนือกว่ายิ่งขึ้นเท่านั้นในโลกที่จะมาถึง” [คพ. 130:18–19] … พระผู้ช่วยให้รอดตรัสกับชาวยิวว่า “พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา” [ยอห์น 5:39] มีสมาชิกศาสนจักรกี่คนที่คิดเช่นนี้ แต่ล้มเหลวในการเตรียมตนเองโดยการศึกษาและโดยศรัทธา11
ดุเหมือนสมาชิกของศาสนจักรนี้จะไม่สามารถพักผ่อนในสันติสุข ความสบายใจ และมีมโนธรรมชัดเจนได้โดยปราศจากความรู้ในงานมาตรฐานของศาสนจักรโดยการศึกษาและโดยศรัทธา บันทึกเหล่านี้ประเมินค่ามิได้ แม้โลกจะเยาะเย้ยบันทึกดังกล่าว แต่โดยผ่านคำสอนในนั้น เราได้รับอนุญาตให้เข้ามาใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นได้รับความเข้าใจมากขึ้นถึงพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ คุ้นเคยกับทั้งสองพระองค์มากขึ้น มีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับแผนแห่งความรอดอันล้ำเลิศซึ่งพระองค์ประทานแก่เราและโลก12
ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณ ผู้มองเห็นยุคสมัยของเรากล่าวโดยไม่เน้นถึงประโยชน์ของผู้คนสมัยนั้น แต่เน้นถึงประโยชน์ของผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนี้ที่คำพยากรณ์เหล่านี้พูดถึง13
ข้าพเจ้ากล่าวกับท่าน พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่สามารถรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าและดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรมได้เว้นแต่ท่านจะทราบว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร พระเจ้าทรงบัญชาเราให้ค้นคว้าพระคัมภีร์ เพราะสิ่งซึ่งมีอยู่ในพระคัมภีร์เป็นความจริงและจะมีสัมฤทธิผล [ดู คพ. 1:37] … จงค้นคว้าพระคัมภีร์ จงทำให้ตัวท่านเองคุ้นเคยกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยไว้เพื่อความรอดของท่าน ความรอดของบ้านท่าน และความรอดของโลก14
3
เรามีความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงต่อการสดับฟังข่าวสารแห่งความจริงที่พระเจ้าทรงกำลังเปิดเผยแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ขณะนี้
หากเราจะสดับฟังพระคำของพระเจ้า แสวงหาด้วยตนเองและได้รับความรู้จากพระคัมภีร์มอรมอน พระคัมภีร์ไบเบิล หลักคำสอนและพันธสัญญา ไข่มุกอันล้ำค่า จากคำแนะนำที่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ให้เราครั้งแล้วครั้งเล่า และพยายามทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า โดยระลึกถึงการสวดอ้อนวอนและพันธสัญญาของเราต่อพระพักตร์พระองค์ เราจะไม่หลงทาง15
ในหลักแห่งความเชื่อข้อที่เก้าเราประกาศว่า “เราเชื่อทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยมาแล้ว, ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยขณะนี้, และเราเชื่อว่าพระองค์จะยังทรงเปิดเผยเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า” นี่เป็นความจริง เราจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงเปิดเผยมาแล้ว และที่ทรงเปิดเผยอยู่ขณะนี้ มิฉะนั้น เราจะไม่เข้าถึงงานและไม่ทราบถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่เกี่ยวกับเรา เพราะเราไม่เข้าใจ16
วิสุทธิชนยุคสุดท้ายควรวางใจผู้นำของพวกเขา และทำตามคำสอนจากเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของศาสนจักร เพราะพวกท่านกล่าวกับพวกเขาด้วยเสียงแห่งการพยากรณ์และการดลใจ พระเจ้าทรงประกาศในภาคแรกของหลักคำสอนและพันธสัญญาว่า ไม่ว่าพระองค์จะกล่าวโดยเสียงของพระองค์เอง หรือโดยเสียงของผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์ ก็เหมือนกัน [ดู คพ. 1:38] ด้วยเหตุนี้ เราจึงอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบและพันธรับผิดชอบอันสำคัญยิ่งต่อการฟังเสียงของผู้นำศาสนจักรในการสอนผู้คน หรือฟังเสียงของเหล่าเอ็ลเดอร์แห่งอิสราเอล เมื่อพวกท่านนำข่าวสารแห่งความจริงไปในบรรดาผู้คน เช่นเดียวกับเรา [หาก] พระเจ้าจะทรงส่งเทพจากที่ประทับของพระองค์มาหรือเสด็จมาด้วยพระองค์เองเพื่อประกาศสิ่งเหล่านี้แก่เรา17
4
เราจะทราบความจริงพระกิตติคุณได้โดยการศึกษา ศรัทธา การเชื่อฟัง และโดยผ่านการนำทางจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
คงจะดีหากเราทำตามคำแนะนำที่พระเจ้าประทานแก่เรา ดังนี้ “และผู้ใดที่สั่งสมคำของเรา, จะไม่ถูกหลอกลวง” [โจเซฟ สมิธ—มัทธิว 1:37] การสั่งสมพระคำของพระองค์เป็นมากกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียว เพื่อสั่งสมพระคำ ต้องไม่เพียงอ่านและศึกษาเท่านั้น แต่ต้องแสวงหาด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เชื่อฟังข้อปฏิบัติที่พระบัญญัติให้ไว้ และรับการดลใจที่มาจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ 18
บางครั้ง เราได้ยินเสียงบ่นว่า “ฉันไม่มีเวลา” แต่เราทุกคนมีเวลาอ่านและศึกษา ซึ่งเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ของเรา เราไม่อาจจัดเวลาอย่างน้อยสิบห้านาทีในแต่ละวันเพื่ออุทิศให้แก่การอ่านอย่างต่อเนื่องและการตรึกตรองเชียวหรือ การทำเช่นนี้ไม่ได้ใช้เวลามากมาย ทว่าเป็นเพียงหนึ่งชั่วโมงกับสี่สิบห้านาทีในหนึ่งสัปดาห์ เจ็ดวันกับหนึ่งชั่วโมงครึ่งในหนึ่งเดือนที่มีสามสิบวัน และเก้าสิบเอ็ดชั่วโมงกับสิบห้านาทีในหนึ่งปี …
… มีน้อยนักในบรรดาพวกเราที่อ่านมากเกินไป เราส่วนใหญ่อ่านน้อยเกินไป พระเจ้าตรัสว่า “และเนื่องจากคนทั้งปวงไม่มีศรัทธา, เจ้าจงแสวงหาอย่างขยันหมั่นเพียรและสอนถ้อยคำแห่งปัญญาให้กัน; แท้จริงแล้ว, เจ้าจงแสวงหาถ้อยคำแห่งปัญญาจากบรรดาหนังสือดีที่สุด; แสวงหาการเรียนรู้, แม้โดยการศึกษาและโดยศรัทธาด้วย.” [คพ. 88:118; 109:7]19
เราได้รับการคาดหวังให้ศึกษาและเรียนรู้ทุกสิ่งที่เราทำได้โดยการวิจัยและการวิเคราะห์ แต่มีข้อจำกัดในความสามารถด้านการเรียนรู้ของเรา ในขอบข่ายของเหตุผลและการศึกษา สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นที่รู้ได้ โดยพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า เราต้องได้รับความรู้นั้นโดยศรัทธา20
มนุษย์อาจค้นคว้า ศึกษา เรียนรู้ แน่นอนว่า สิ่งดีหลายอย่าง พวกเขาอาจเก็บเกี่ยวข้อมูลมากมาย แต่พวกเขาจะไม่มีวันมาสู่ความจริงอันสมบูรณ์ได้เลย … เว้นแต่พวกเขาจะได้รับการนำทางจากพระวิญญาณแห่งความจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์ และรักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า21
ศรัทธาแท้จริงที่มาพร้อมกับวิญญาณของความอ่อนน้อมถ่อมตนจะนำมนุษย์ไปสู่ความรู้เรื่องความจริง ไม่มีเหตุผลที่ดีว่าเพราะเหตุใดมนุษย์ในทุกที่จึงไม่อาจทราบความจริงที่ทำให้พวกเขาเป็นอิสระได้ ไม่มีเหตุผลที่ดีว่าเพราะเหตุใดมนุษย์ทั้งปวงจึงไม่อาจค้นพบแสงสว่างของความจริงและทราบว่าพระเจ้าตรัสอีกครั้งในยุคสุดท้ายนี้หรือไม่ เปาโลกล่าวว่ามนุษย์ควร “แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะค้นหาและพบพระองค์ ที่จริงพระองค์ไม่ทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย” [กิจการ 17:27] แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดทางวิญญาณและการขาดศรัทธา ซึ่งปกคลุมโลกไว้ แต่พระพาหุของพระเจ้ามิได้สั้นลงเลย พระองค์จะทรงฟังคำวิงวอนที่มาจากความตั้งใจจริงของคนซื่อสัตย์ที่แสวงหาความจริง และไม่มีใครต้องการดำเนินชีวิตโดยปราศจากความรู้เรื่องความจริงอันศักดิ์สิทธิ์และจะพบศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ได้ที่ไหน ทั้งหมดที่บุคคลคนหนึ่งต้องการคือศรัทธาอันนอบน้อมและวิญญาณที่สำนึกผิดพร้อมด้วยปณิธานแน่วแน่ที่จะเดินในความสว่าง และพระเจ้าจะทรงเปิดเผยความรู้นั้นแก่เขา22
เราทุกคนอาจทราบความจริง เราไม่ขาดความช่วยเหลือ พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์ทุกคนอยู่ในวิสัยที่จะทราบความจริงโดยการรักษากฎ [ของพระองค์] และโดยผ่านการนำทางของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ทรงส่งมาสอนเราเพื่อจุดประสงค์นี้โดยเฉพาะเมื่อเราดำเนินชีวิตสอดคล้องกับกฎ เพื่อที่เราจะรู้จักความจริงนั้นที่ทำให้เราเป็นอิสระ [ดู ยอห์น 8:32]23
5
เมื่อเราดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความจริง พระเจ้าทรงเพิ่มความสว่างและความเข้าใจแก่เรา
นี่เป็นข้อเรียกร้องจากเรา ในฐานะสมาชิกของศาสนจักรนี้ ในการทำให้ตนเองคุ้นเคยกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผย เพื่อเราจะได้ไม่ถูกนำออกไปนอกทาง … เราจะดำเนินชีวิตตามความจริงได้อย่างไรหากเราไม่รู้จักความจริง24
วัตถุประสงค์เดียวที่เกี่ยวข้องกับความจริงเรื่องความรอดจะต้องค้นพบให้ได้ว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยอะไร จากนั้นจึงเชื่อและการปฏิบัติตาม25
หากเราจะทำตามวิญญาณของความสว่าง วิญญาณของความจริง วิญญาณนั้นมีอยู่แล้วในการเปิดเผยของพระเจ้า หากเราจะแสวงหาการนำทางจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยผ่านวิญญาณของการสวดอ้อนวอนและความอ่อนน้อมถ่อมตน พระเจ้าจะทรงเพิ่มความสว่างและความเข้าใจของเรา เพื่อที่เราจะมีวิญญาณของการเล็งเห็น เราจะเข้าใจความจริง เราจะรู้จักความผิดเมื่อเรามองเห็น และเราจะไม่ถูกหลอก
ใครคือคนที่ถูกหลอกในศาสนจักรแห่งนี้ ไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ไม่ใช่คนที่ทำตนให้คุ้นเคยกับพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่คนที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติที่ประทานในการเปิดเผยเหล่านี้ แต่เป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกับความจริง คนที่อยู่ในความมืดทางวิญญาณ คนที่ไม่เข้าใจหลักธรรมพระกิตติคุณ คนเช่นนั้นจะถูกหลอก และเมื่อวิญญาณลวงเหล่านี้เข้ามาอยู่ท่ามกลางเรา เขาอาจไม่เข้าใจหรือไม่สามารถแยกแยะระหว่างความสว่างกับความมืดได้
แต่หากเราจะดำเนินชีวิตในความสว่างจากการเปิดเผยของพระเจ้า หากเราจะสดับฟังคำแนะนำที่ได้รับจากคนเหล่านั้นที่ยืนในสภาของศาสนจักร ผู้ได้รับพลังในการให้คำแนะนำ เราจะไม่หลงทาง26
ขอให้เราค้นคว้าพระคัมภีร์ ขอให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยอะไร ขอให้เราดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความจริงของพระองค์ แล้วเราจะไม่ถูกหลอก แต่จะมีพลังต้านทานความชั่วร้ายและการล่อลวง ความนึกคิดของเราจะสว่าง เราจะสามารถเข้าใจความจริงและแยกแยะความจริงออกจากความไม่ถูกต้อง27
หากมีหลักคำสอนหรือหลักธรรมใดเกี่ยวข้องกับคำสอนของศาสนจักรและเราไม่เข้าใจ ขอให้เราคุกเข่า ขอให้เราไปอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าในวิญญาณของการสวดอ้อนวอน ด้วยความนอบน้อมถ่อมตน และทูลขอพระองค์ทรงทำให้ความคิดเราสว่างเพื่อเราจะเข้าใจ28
“สิ่งซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นความสว่าง; และคนที่รับความสว่าง, และดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป” —นั่นคือกุญแจไขสถานการณ์นั้น—“รับความสว่างมากขึ้น; และความสว่างนั้นเจิดจ้ายิ่งขึ้นๆ จนถึงวันที่สมบูรณ์” [คพ. 50:24]
ดังนั้น จากเรื่องนี้ เราเข้าใจว่าคนที่แสวงหาพระผู้เป็นเจ้าและ [ได้รับ] การนำทางจากพระวิญญาณของความจริง หรือพระผู้ปลอบโยน และดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป จะเติบโตขึ้นด้วยความรู้ ความสว่าง ความจริง จนในที่สุดวันที่สมบูรณ์ของความสว่างและความจริงจะมาถึงเขา
เวลานี้ เราจะไม่ได้รับทั้งหมดในชีวิตนี้ เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะไปถึงเป้าหมายนั้นเพียงไม่กี่ปีของการดำรงอยู่ในมรรตัย แต่สิ่งที่เราเรียนรู้ที่นี่ ซึ่งเป็นนิรันดร์และได้รับการดลใจจากพระวิญญาณแห่งความจริง จะดำเนินไปกับเราแม้หลังความตายก็จะยังเป็นเช่นนั้นต่อไป หากเรายังดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป เพื่อรับความสว่างและความจริงจนในที่สุดเราจะมาถึงวันที่สมบูรณ์29
สัญญานั้นมีไว้ให้คนทั้งปวงที่จะรับความสว่างแห่งความจริงนี้ โดยผ่านการค้นคว้าและการเชื่อฟัง มุ่งมั่นที่จะทำตนให้คุ้นเคยกับพระกิตติคุณ แล้วพวกเขาจะได้รับบรรทัดมาเติมบรรทัด กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์ ที่นั่นนิดที่นี่หน่อย จนกว่าพวกเขาจะได้รับความสมบูรณ์แห่งความจริง แม้ความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ของอาณาจักรก็จะทำให้เป็นที่รู้แก่พวกเขา “เพราะทุกคนที่ขอ, ย่อมได้รับ; และคนที่หา, ย่อมพบ; และแก่ผู้ที่เคาะ, มันจะเปิดให้” [มัทธิว 7:8; 3 นีไฟ 14:8; ดู อิสยาห์ 28:10; คพ. 76:1–10; 98:11–12] คนเหล่านี้คือทายาทแห่งความรอดและพวกเขาจะสวมมงกุฎด้วยรัศมีภาพ ความเป็นอมตะ และชีวิตนิรันดร์ ในฐานะบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า พร้อมด้วยความสูงส่งในอาณาจักรซีเลสเชียลของพระองค์30
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ขณะที่ท่านอ่านเกี่ยวกับความพยายามของประธานสมิธที่จะเรียนรู้พระกิตติคุณ (ดู “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ”) ให้ตรึกตรองถึงความพยายามของท่านเอง มีพรใดบ้างที่ท่านได้รับขณะศึกษาพระคัมภีร์และคำสอนพระกิตติคุณอื่นๆ
-
เราเรียนรู้อะไรบ้างจากหัวข้อที่ 1 เกี่ยวกับดุลยภาพระหว่างการเรียนรู้ทางวิญญาณกับทางโลก เราจะช่วยให้สมาชิกครอบครัวและผู้อื่นให้ความสำคัญแก่ความรู้ทางวิญญาณในขณะที่พวกเขาดำเนินตามเป้าหมายทางการศึกษาได้อย่างไร
-
พระคัมภีร์ช่วยเหลือให้ท่าน “คุ้นเคย” กับพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์อย่างไร (ดู หัวข้อที่ 2) ลองนึกถึงสิ่งที่ท่านทำได้เพื่อปรับปรุงการศึกษาพระคัมภีร์ของท่าน
-
หลังจากอ่านหัวข้อที่ 3 ให้นึกถึงพรที่ท่านได้รับขณะทำตามคำแนะนำของผู้นำศาสนจักร เราจะแบ่งปันคำสอนของศาสดาพยากรณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่กับครอบครัวและผู้อื่นได้อย่างไร
-
ท่านคิดว่าการสั่งสมพระคำของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร (สำหรับแนวคิดบางอย่าง ดู หัวข้อที่ 4) “อย่างน้อยที่สุดสิบห้านาทีในแต่ละวันอุทิศให้แก่การอ่านอย่างต่อเนื่องและตรึกตรอง” มีอิทธิพลต่อชีวิตท่านในทางใดบ้าง
-
ไตร่ตรองว่าจะประยุกต์ใช้คำแนะนำในหัวข้อที่ 5 ในชีวิตท่านอย่างไร ขณะข้อมูลไม่ถูกต้องกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายและแพร่หลาย เราจะ “แยกแยะระหว่างความสว่างกับความมืด” ได้อย่างไร เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือบุตรธิดาและเยาวชน
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
สดุดี 119:105; ยอห์น 7:17; 2 ทิโมธี 3:15–17; 2 นีไฟ 4:15; 32:3; ฮีลามัน 3:29–30; คพ. 19:23; 84:85; 88:77–80
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“แม้เมื่อท่านสอนหลายคนในเวลาเดียวกัน ท่านให้ความช่วยเหลือแต่ละคนได้ ตัวอย่างเช่น ท่านให้ความช่วยเหลือแต่ละคนเมื่อท่านทักทายเขาอย่างอบอุ่นในตอนเริ่มชั้นเรียน … ท่านให้ความช่วยเหลือได้ด้วยเมื่อท่านทำให้การมีส่วนร่วมเป็นการเชิญชวนและปลอดภัย” ( ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999] หน้า 35)