คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 16: เลี้ยงดูบุตรธิดาในแสงสว่างและความจริง


บทที่ 16

เลี้ยงดูบุตรธิดาในแสงสว่างและความจริง

“หน้าที่แรกซึ่งเกี่ยวข้องการอบรมบุตรธิดาของศาสนจักรอยู่ภายในบ้าน”

จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเล่าถึงประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ บิดาท่านว่าเป็น “คนที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นมากกว่าใครที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักในโลกนี้”1 ท่านเล่าว่าบิดาท่านให้ครอบครัวมาอยู่รวมกันบ่อยๆ เพื่อ “สอนหลักธรรมในพระกิตติคุณให้บุตรธิดาของท่าน ทุกคนต่างมีความสุขที่ได้อยู่กับท่านและขอบคุณสำหรับคำปรึกษาและคำแนะนำที่ท่านมอบให้ … พวกเขาไม่เคยลืมว่าท่านสอนอะไรให้บ้าง ความประทับใจที่ยังคงอยู่และน่าจะคงอยู่เช่นนั้นไปตลอดกาล”2 ท่านกล่าวด้วยว่า “บิดาข้าพเจ้าคือบุรุษที่มีใจกรุณาที่สุดที่ข้าพเจ้าเคยรู้จัก … ในบรรดาความทรงจำที่ข้าพเจ้าชื่นชอบที่สุดคือ เวลาที่ได้อยู่ข้างๆ ท่าน สนทนาหลักธรรมพระกิตติคุณและรับคำแนะนำจากท่าน ในวิธีนี้รากฐานความรู้ของข้าพเจ้าวางอยู่ในความจริง เพื่อข้าพเจ้าจะกล่าวได้เช่นกันว่าพระผู้ไถ่ทรงพระชนม์ โจเซฟ สมิธเป็น เคยเป็น และจะเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์เสมอ”3

โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเล่าด้วยความรักถึงจูลินา แอล. สมิธ มารดาและคำสอนของท่านเช่นกัน ท่านเล่าว่า “ข้าพเจ้าได้รับการอบรมสั่งสอนที่ตักของมารดาข้าพเจ้าว่าให้รักศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ และรักพระผู้ไถ่ของข้าพเจ้า … ข้าพเจ้าขอบคุณสำหรับการสั่งสอนอบรมที่ข้าพเจ้าได้รับและพยายามทำตามคำแนะนำของบิดาข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าต้องไม่ยกความดีความชอบทั้งหมดให้บิดา ข้าพเจ้าคิดว่าความดีส่วนหนึ่ง ส่วนที่ดีมากๆ ควรแบ่งให้มารดาผู้ที่ข้าพเจ้าเคยนั่งตักสมัยเป็นเด็กและฟังเรื่องราวของผู้บุกเบิกจากท่าน … ท่านเคยสอนและวางหนังสือในมือข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าโตพอที่จะอ่านได้เอง หนังสือที่ข้าพเจ้าอ่านเข้าใจ ท่านสอนข้าพเจ้าให้สวดอ้อนวอน [และ] ให้แน่วแน่และซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาและพันธรับผิดชอบของข้าพเจ้า ให้มีส่วนร่วมในหน้าที่มัคนายกและผู้สอน … และต่อมาคือปุโรหิต … ข้าพเจ้ามีมารดาที่คอยดูแลให้ข้าพเจ้าอ่านและข้าพเจ้ารักการอ่าน”4

เมื่อโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเป็นบิดา ท่านทำตามแบบอย่างบิดามารดาของท่าน อมิเลีย บุตรสาวท่านเล่าไว้ดังนี้

“คุณพ่อเป็นนักเรียนและครูที่ดีพร้อม ท่านไม่เพียงสอนเราจากคลังความรู้ของท่านเองเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นเราให้เรียนรู้เองอีกด้วย …

“กับลูกๆ ท่านทำตามคำแนะนำที่มีอยู่ในคพ. 93:40ว่า ‘แต่เราบัญชาเจ้าไว้ให้เลี้ยงดูลูกๆ ของเจ้าในแสงสว่างและความจริง’

“ท่านสอนเราที่โต๊ะอาหารมื้อเช้าขณะเล่าเรื่องจากพระคัมภีร์ให้เราฟัง ท่านมีความสามารถในการทำให้แต่ละเรื่องฟังดูใหม่และน่าตื่นเต้น แม้เราจะเคยได้ยินมาแล้วหลายครั้งก็ตาม ข้าพเจ้าสงสัยมาจนทุกวันนี้ว่าทหารฟาโรห์จะพบถ้วยทองในกระสอบธัญพืชของเบ็นจามินเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เราเรียนรู้เกี่ยวกับการที่โจเซฟ สมิธค้นพบแผ่นจารึกทองคำ และการเสด็จเยือนของพระบิดากับพระบุตร ถ้าคุณพ่อมีเวลาเดินไปโรงเรียนกับเรา เรื่องราวจะยังคงดำเนินต่อไป เราเดินผ่านพระวิหาร [ซอลท์เลค] ในระหว่างทางไปโรงเรียนและท่านเล่าเรื่องเทพโมโรไนให้เราฟัง เราเรียนรู้ว่าพระวิหารเป็นสถานที่พิเศษมาก ต้องเป็นคนดีจึงจะเข้าไปในนั้นได้ และเมื่อท่านแต่งงานที่นั่น การแต่งงานจะดำรงอยู่ตลอดกาล ท่านสอนเราโดยสิ่งต่างๆ ที่ท่านสวดอ้อนวอนให้ในการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว ขณะคุกเข่าข้างเก้าอี้ก่อนอาหารเช้าและอีกครั้งที่อาหารมื้อค่ำ …

“ทุกวันนี้ คำสอนของท่านไม่เพียงจรรโลงใจและค้ำจุนลูกหลานของท่านเท่านั้น แต่รวมถึงสมาชิกของศาสนจักรที่ซื่อสัตย์นับไม่ถ้วนเช่นกัน ช่างเป็นสิทธิพิเศษและพรมากมายที่ได้เป็นลูกสาวคุณพ่อ”5

The prophet loved children. President Joseph Fielding Smith with his great-granddaughter Shauna McConkie at Christmas time

ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธกับแชนนา แมคคองกี เหลนของท่าน

คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

1

เพื่อต้านทานอิทธิพลของปฏิปักษ์ บิดามารดาต้องเลี้ยงดูลูกๆ ในแสงสว่างและความจริง

ความสำคัญของหน่วยครอบครัว—ความรักและความเกรงใจกันในครอบครัว—ไม่ได้ถูกเน้นหนักมากเกินไป ความเป็นหนึ่งเดียวทางวิญญาณในสัมพันธภาพครอบครัวคือรากฐานที่แน่นอนให้ศาสนจักรและสังคมเบ่งบาน ฝ่ายปฏิปักษ์เข้าใจและรู้จักข้อเท็จจริงนี้เป็นอย่างดี อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาใช้เครื่องมืออันชาญฉลาด อิทธิพล และอำนาจทุกชนิดในการควบคุมเพื่อบั่นทอนและทำลายสถาบันนิรันดร์นี้ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่นำมาใช้ในสัมพันธภาพครอบครัวเท่านั้นจึงจะป้องกันการทำลายล้างอันชั่วร้ายนี้ได้6

มีอันตรายแท้จริงและใหญ่หลวงมากมายให้รับมือ สิ่งเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องกับเรามากกว่าคนอื่นๆ รวมกันต้องทำร่วมกับลูกของเรา บ้านและอิทธิพลของบ้านเท่านั้นที่สามารถเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันที่แท้จริงหรือเพียงพอ7

บุตรธิดาของเราต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะระหว่างความดีกับความชั่ว มิฉะนั้น พวกเขาจะไม่สามารถเข้าใจสภาพการณ์ต่างๆ ได้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ประพฤติปฏิบัติสิ่งที่เพื่อนบ้านคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา เว้นแต่พวกเขาจะได้รับคำแนะนำตามหลักคำสอนของศาสนจักร บางทีพวกเขาอาจไม่เข้าใจว่าเหตุใดคอนเสิร์ตวันอาทิตย์ ภาพยนตร์วันอาทิตย์ งานแสดงภาพถ่าย การแข่งบอล หรืออะไรทำนองนั้นจึงเป็นเรื่องอันตราย ขณะเพื่อนๆ ที่ไร้ความยับยั้งชั่งใจบวกกับแรงกระตุ้น เตลิดไปกับสิ่งที่พระเจ้าทรงห้ามทำในวันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ บิดามารดามีหน้าที่รับผิดชอบในการสอนบุตรธิดาถึงคำสอนที่ถูกต้อง [และ] พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษบิดามารดาหากลูกๆ เติบโตภายนอกอิทธิพลของหลักธรรมพระกิตติคุณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์8

พระเจ้าทรงบัญชาเราทุกคนให้เลี้ยงดูบุตรธิดาในแสงสว่างและความจริง หากวิญญาณนี้ดำรงอยู่ที่ใด ความไม่ปรองดอง การไม่เชื่อฟัง และการละเลยหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์จะไม่ และไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลย9

2

บิดามารดามีความรับผิดชอบเบื้องต้นในการสอนบุตรธิดาของตน

พระบิดาไม่เคยละทิ้งบุตรธิดาที่เกิดมาในโลกนี้ พวกเขายังคงเป็นบุตรธิดาของพระองค์ พระองค์ทรงวางพวกเขาไว้ในความดูแลของบิดามารดามรรตัยพร้อมกำชับว่าพวกเขาจะได้รับการเลี้ยงดูในแสงสว่างและความจริง ความรับผิดชอบเบื้องต้นและสำคัญมากอยู่กับบิดามารดาในการสอนบุตรธิดาของตนในแสงสว่างและความจริง10

หน้าที่อันดับแรกที่เกี่ยวข้องกับการอบรมบุตรธิดาของศาสนจักรอยู่ภายในบ้าน เป็นหน้าที่รับผิดชอบของบิดามารดาที่จะเลี้ยงดูพวกเขาในแสงสว่างและความจริง พระเจ้าทรงประกาศว่าหากพวกเขาล้มเหลวในการทำสิ่งนี้ พวกเขาจะยืนให้คำตอบต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา11

พระเจ้าตรัสในการเปิดเผยที่ให้แก่ศาสนจักรในปี 1831 ดังนี้

“และอนึ่ง, ตราบเท่าที่บิดามารดามีลูกในไซอัน, หรือในสเตคหนึ่งสเตคใดของนาง, ซึ่งจัดตั้งขึ้น, ที่มิได้สอนพวกเขาให้เข้าใจหลักคำสอนเรื่องการกลับใจ, ศรัทธาในพระคริสต์พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์, และเรื่องบัพติศมาและของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยการวางมือ, เมื่ออายุแปดขวบ, บาปย่อมอยู่บนศีรษะของบิดามารดา.

“เพราะนี่จะเป็นกฎให้ผู้อยู่อาศัยของไซอัน, หรือในสเตคหนึ่งสเตคใดของนางซึ่งจัดตั้งขึ้น” [คพ. 68:25–26]

… พระเจ้าทรงเรียกร้องสิ่งนี้จากมือของเรา12

บิดามารดาจะรับผิดชอบต่อการกระทำของบุตรธิดาของตน หากพวกเขาล้มเหลวในการสอนบุตรธิดาโดยแบบอย่างและกฎเกณฑ์

หากบิดามารดาทำทุกสิ่งในอำนาจที่พวกเขาจะสอนลูกๆ อย่างถูกต้องโดยแบบอย่างและกฎเกณฑ์ แล้วลูกๆ ยังคงหลงทาง บิดามารดาจะไม่มีส่วนรับผิดชอบและบาปจะตกอยู่กับลูกๆ13

3

ศาสนจักรช่วยบิดามารดาในความพากเพียรที่จะสอนบุตรธิดาของพวกเขา

ความรับผิดชอบหลักใน [การ] ทำสิ่งต่างๆ ซึ่งนำไปสู่ความรอดตกอยู่กับแต่ละคน เราต่างก็ถูกวางไว้บนแผ่นดินโลกเพื่อรับประสบการณ์ของการทดสอบความเป็นมรรตัย เราอยู่ที่นี่เพื่อดูว่าเราจะรักษาพระบัญญัติและเอาชนะโลกได้หรือไม่ เราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเราเองจนสุดความสามารถ

ความรับผิดชอบต่อไปสำหรับความรอดของเราตกอยู่กับครอบครัว บิดามารดาต้องมีหน้าที่เป็นแสงสว่างและการนำทางให้แก่บุตรธิดาของพวกเขา บิดามารดาได้รับบัญชาให้เลี้ยงดูพวกเขาในแสงสว่างและความจริง สอนพระกิตติคุณและวางแบบอย่างที่ถูกต้องให้พวกเขา บุตรธิดาได้รับการคาดหวังให้เชื่อฟังบิดามารดา ให้เกียรติและเคารพพวกท่าน

ศาสนจักรก่อตั้งองค์การการรับใช้ในเบื้องต้นเพื่อช่วยเหลือครอบครัวและตัวบุคคล14

A woman leading music in Primary.  A girl is standing at her side holding a copy of the Book of Mormon.

“ศาสนจักรก่อตั้งองค์การการรับใช้ในเบื้องต้นเพื่อช่วยเหลือครอบครัวและตัวบุคคล”

ข้าพเจ้าวิงวอนท่าน พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า สามีภรรยา บิดามารดาทั้งหลาย ขอให้ใช้ทุกโอกาสที่ศาสนจักรจัดไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่บุตรธิดาของท่านที่จะได้รับการสอนในหลายๆ องค์การโดยการเปิดเผยจากพระเจ้า อาทิปฐมวัย โรงเรียนวันอาทิตย์ องค์กรการพัฒนาสหกิจกรรม [เยาวชนชายและเยาวชนหญิง] และโควรัมฐานะปุโรหิตที่ต่ำกว่าภายใต้การกำกับดูแลจากฝ่ายอธิการของเรา …

… เรามีทั่วทั้งศาสนจักร ทุกแห่งซึ่งอยู่ในวิสัยที่เราจะทำให้มีโอกาสนี้ได้ เซมินารีและสถาบัน … พี่น้องทั้งหลาย จงส่งบุตรธิดาท่านไปเซมินารีเหล่านี้ คนที่กำลังเข้าเรียนวิทยาลัยจะเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเข้าร่วมชั้นเรียนสถาบันของศาสนจักร ถ้าพวกเขามีการอบรมที่เหมาะสมในวัยเยาว์15

4

บิดามารดาควรทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยให้บุตรธิดาเข้าใจและดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

ในแต่ละบุคคล ประจักษ์พยานส่วนตัวเป็นและจะเป็นความเข้มแข็งของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเสมอ ประจักษ์พยานได้รับการบำรุงเลี้ยงมากที่สุดในการจัดตั้งครอบครัว … การได้มาและการรักษาประจักษ์พยานควรเป็นโครงการครอบครัว จงอย่าละเลยอะไรก็ตามที่จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ประจักษ์พยานของสมาชิกครอบครัวท่าน16

เราต้องคุ้มครอง [บุตรธิดา] จากบาปและความชั่วร้ายของโลกจนสุดความสามารถเพื่อพวกเขาจะไม่ถูกนำไปจากหนทางแห่งความจริงและความชอบธรรม17

จงช่วยเหลือบุตรธิดาทุกวิถีทางที่ท่านทำได้เพื่อปลูกฝังความรู้เรื่องพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ สอนพวกเขาให้สวดอ้อนวอน สอนพวกเขาให้รักษาพระคำแห่งปัญญา ให้ดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์และนอบน้อมต่อพระพักตร์พระเจ้า ทั้งนี้เมื่อพวกเขาเติบโตเป็นบุรุษและสตรี พวกเขาจะขอบคุณสำหรับสิ่งที่ท่านทำเพื่อพวกเขาและมองย้อนกลับไปในชีวิตด้วยใจสำนึกคุณและด้วยความรักที่มีต่อบิดามารดา สำหรับการดูแลเอาใจใส่และการอบรมบ่มนิสัยพวกเขาในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์18

จงเป็นแบบอย่างที่ชอบธรรม

เราขอให้บิดามารดาวางแบบอย่างแห่งความชอบธรรมในชีวิตตนเอง ให้บุตรธิดามาล้อมรวมกันและสอนพระกิตติคุณให้พวกเขา ที่การสังสรรค์ในครอบครัวและในเวลาอื่นๆ19

บิดามารดาต้องพยายามเป็น หรืออย่างน้อยให้ใช้ความพยายามสุดความสามารถที่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนาให้ลูกเป็น การเป็นแบบอย่างในสิ่งที่ท่านไม่ได้เป็นนับว่าสุดวิสัย20

ท่านต้องสอนด้วยแบบอย่างและกฎเกณฑ์ คุกเข่าในการสวดอ้อนวอนกับลูกๆ ท่านต้องสอนพวกเขาด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ถึงเรื่องพระพันธกิจของพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ ท่านต้องทำให้พวกเขามองเห็นทาง บิดาที่ทำให้บุตรชายมองเห็นทางจะไม่กล่าวว่า “ลูกพ่อ ไปโรงเรียนวันอาทิตย์นะ หรือไปสหกิจกรรม หรือไปการประชุมฐานะปุโรหิตนะ” แต่เขาจะกล่าวว่า “มากับพ่อสิ” เขาจะสอนโดยแบบอย่าง21

เริ่มสอนลูกๆ เมื่อเขายังเด็ก

ไม่มีใครเริ่มต้นรับใช้พระเจ้าเร็วเกินไป … คนหนุ่มสาวทำตามคำสอนของบิดามารดา เด็กที่ได้รับการอบรมสั่งสอนในความชอบธรรมนับแต่แรกเกิดจะมีแนวโน้มมากที่สุดว่าจะดำเนินตามความชอบธรรมเสมอ สร้างนิสัยที่ดีและทำตามได้ง่าย22

ควรมีการสวดอ้อนวอน ศรัทธา ความรัก และการเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าในบ้าน เป็นหน้าที่ของบิดามารดาที่จะสอนบุตรธิดาเรื่องหลักธรรมแห่งความรอดในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เพื่อที่พวกเขาจะทราบว่าเหตุใดจึงต้องรับบัพติศมา พวกเขาจะฝังใจกับความปรารถนาที่จะรักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าต่อไปหลังรับบัพติศมา เพื่อพวกเขาจะกลับไปสู่ที่ประทับพระองค์ได้ พี่น้องที่แสนดีของข้าพเจ้า ท่านต้องการครอบครัวและบุตรธิดาของท่าน ท่านต้องการจะผนึกกับบรรพชนก่อนหน้าท่าน ท่านต้องการมีหน่วยครอบครัวที่เพียบพร้อม เมื่อท่านจะเข้าอาณาจักรซีเลสเชียลของพระผู้เป็นเจ้าหากท่านได้รับอนุญาตหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ท่านต้องเริ่มโดยการสอนตั้งแต่แบเบาะ23

สอนบุตรธิดาให้สวดอ้อนวอน

บ้านที่ไม่มีวิญญาณของการสวดอ้อนวอนคืออะไร นั่นไม่ใช่บ้านวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เราควรสวดอ้อนวอน เราไม่ควรปล่อยให้ยามเช้าผ่านไปโดยไม่คุกเข่าขอบพระทัยพระเจ้าในวงล้อมของครอบครัว ขอบพระทัยพระองค์สำหรับพรและทูลขอการนำทางจากพระองค์ เราไม่ควรปล่อยให้กลางคืนผ่านไป ไม่ควรเข้านอนจนกว่าจะรวมสมาชิกครอบครัวอีกครั้งและขอบพระทัยพระเจ้าสำหรับการคุ้มครองจากพระองค์ ทูลขอการนำทางทุกวันให้แก่ชีวิตเรา24

ข้าพเจ้าหวังว่าเรากำลังสอนบุตรธิดาในบ้านให้สวดอ้อนวอน ข้าพเจ้าหวังว่าท่านกำลังสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว ทั้งเช้าและเย็น บุตรธิดาท่านได้รับการสอนโดยแบบอย่างและกฎเกณฑ์ให้รักษาพระบัญญัติอันล้ำค่า และศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีความหมายมากมายต่อความรอดของเราในอาณาจักรพระผู้เป็นเจ้า25

แนะนำบุตรธิดาให้รู้จักพระคัมภีร์

ไม่มีบ้านหลังใดในภูมิภาคไหนของโลกที่จะไม่มีพระคัมภีร์ไบเบิล ไม่มีบ้านหลังใดที่จะไม่มีพระคัมภีร์มอรมอน ข้าพเจ้ากำลังกล่าวถึงบ้านวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ไม่มีบ้านหลังใดไม่มีหลักคำสอนและพันธสัญญาและไข่มุกอันล้ำค่า อย่าเก็บพระคัมภีร์เหล่านี้ไว้บนหิ้งหรือในตู้ แต่จงวางไว้ในที่ซึ่งจะหยิบอ่านได้ง่าย เพื่อสมาชิกครอบครัวจะหยิบมานั่งอ่านและศึกษาหลักธรรมพระกิตติคุณด้วยตัวเขาเอง26

จัดสังสรรค์ในครอบครัว

บุตรธิดาที่เติบโตในบ้านซึ่งพวกเขามีส่วนร่วมสังสรรค์ในครอบครัว ในที่ซึ่งเต็มไปด้วยความรักความสามัคคี เสริมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเป็นพลเมืองดีและการมีส่วนร่วมในศาสนจักรอย่างแข็งขัน ไม่มีมรดกใดที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้บุตรธิดาของพวกเขาจะสำคัญไปกว่าความทรงจำและพรในบ้านที่มีแต่ความสุข ความเป็นหนึ่งเดียวและความรัก

การสังสรรค์ในครอบครัวที่วางแผนไว้อย่างดีสามารถเป็นที่มาของปีติและอิทธิพลอันยั่งยืน ช่วงเย็นเหล่านี้เป็นเวลาสำหรับกิจกรรมกลุ่ม การจัดระเบียบ การแสดงความรัก การแสดงประจักษ์พยาน การเรียนรู้หลักธรรมพระกิตติคุณ ความสนุกสนานและนันทนาการในครอบครัว ตลอดจนกิจกรรมอื่นๆ ที่จะสร้างความเข้มแข็งและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในครอบครัว

บิดามารดาที่จัดสังสรรค์ในครอบครัวอย่างซื่อสัตย์และเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวให้ครอบครัวในทุกๆ ด้านที่ทำได้ จะมีสัมฤทธิผลในหน้าที่รับผิดชอบอันสำคัญที่สุดในบรรดาหน้าที่ทั้งปวงด้วยเกียรติ—ของความเป็นบุพการี27

ความเป็นผู้นำที่สำคัญที่สุดของบิดาในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าคือการที่บิดานำครอบครัวของพวกเขาขณะจัดสังสรรค์ในครอบครัว เมื่อประสบการณ์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในบ้าน ย่อมเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวและความเคารพในครอบครัว ซึ่งมีอิทธิพลต่อทุกคนในการเพิ่มความชอบธรรมและความสุข28

บิดามารดาที่เพิกเฉยต่อความช่วยเหลืออันสำคัญยิ่งจากโปรแกรมนี้ [การสังสรรค์ในครอบครัว] กำลังใช้อนาคตบุตรธิดาของพวกเขาเป็นเดิมพัน29

สอนคุณธรรม ความบริสุทธิ์ทางเพศและศีลธรรม

ท่านควรสอนคุณธรรม ความบริสุทธิ์ทางเพศให้บุตรธิดา และพวกเขาควรได้รับการสอนตั้งแต่เยาว์วัย ควรช่วยให้พวกเขาระวังกับดักและอันตรายที่แพร่หลายอยู่ทั่วโลก 30

เรามีความห่วงใยมากต่อความผาสุกทางวิญญาณและทางศีลธรรมของเยาวชนทุกคนทุกหนแห่ง ศีลธรรม ความบริสุทธิ์ทางเพศ คุณธรรม การเป็นอิสระจากบาป—ทั้งหมดนี้เป็นและต้องเป็นพื้นฐานให้วิถีชีวิต หากเราตระหนักถึงจุดประสงค์ทั้งหมดดังที่กล่าวมา

เราวิงวอนบิดามารดาทั้งหลายให้สอนความบริสุทธิ์ส่วนตัวโดยกฎเกณฑ์ แบบอย่าง และให้คำปรึกษาแก่บุตรธิดาถึงเรื่องทั้งหมดนี้ …

เรามีความมั่นใจในเยาวชนและอนุชนรุ่นหลังของศาสนจักร และวิงวอนพวกเขาว่าอย่าทำตามสมัยนิยมและวัฒนธรรมของโลก อย่ารับส่วนของวิญญาณแห่งการกบฏ อย่าละทิ้งหนทางแห่งความจริงและคุณธรรม เราเชื่อในคุณความดีพื้นฐานที่พวกเขามีอยู่ เราคาดหวังให้พวกเขาเป็นเสาหลักแห่งความชอบธรรมและดำเนินงานของศาสนจักรต่อไปด้วยศรัทธาและประสิทธิภาพที่เพิ่มพูน 31

จงเตรียมบุตรธิดาให้เป็นพยานถึงความจริงและรับใช้งานเผยแผ่

หนุ่มสาวของเราคือผู้อยู่ในกลุ่มบุตรธิดาของพระบิดาที่ได้รับพรและเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด พวกเขาคือความสูงส่งจากสวรรค์ เป็นคนในรุ่นที่ได้รับเลือกสรรและมีจุดหมายอันสูงส่ง ดวงวิญญาณของพวกเขาสงวนไว้เพื่อให้มาปรากฏในยุคนี้ เมื่อพระกิตติคุณอยู่บนแผ่นดินโลก และเมื่อพระเจ้าทรงต้องการผู้รับใช้ที่องอาจซึ่งจะทำงานอันยิ่งใหญ่ในยุคสุดท้ายของพระองค์32

เราต้องเตรียม [บุตรธิดา] ให้เป็นพยานที่มีชีวิตถึงความจริงและความศักดิ์สิทธิ์ของงานยุคสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่นี้ และโดยเฉพาะกับบุตรชายของเรา จงดูว่าพวกเขามีค่าควรและมีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่งานเผยแผ่เพื่อสั่งสอนพระกิตติคุณให้แก่บุตรชายหญิงของพระบิดา33

ช่วยบุตรธิดาเตรียมตัวมีครอบครัวนิรันดร์ของตนเอง

ท่านกำลังอบรม [บุตรธิดาของท่าน] หรือไม่ เพื่อว่าเมื่อพวกเขาแต่งงาน พวกเขาจะต้องการไปยังพระนิเวศน์ของพระเจ้า ท่านกำลังสอนพวกเขาหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะต้องการรับเอ็นดาวเม้นท์อันสำคัญยิ่งซึ่งพระเจ้าทรงสงวนไว้เพื่อพวกเขา ท่านประทับใจกับข้อเท็จจริงนั้นหรือไม่ ว่าพวกเขาสามารถรับการผนึกเป็นสามีภรรยาและได้ประสาทของประทานกับพรทุกประการที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรซีเลสเชียลให้พวกเขาแล้ว34

เราต้อง … แนะนำและนำทาง [บุตรธิดา] เพื่อพวกเขาจะเลือกคู่ครองที่ถูกต้องและแต่งงานในพระนิเวศน์ของพระเจ้า จากนั้นจึงมาเป็นทายาทของพรอันยิ่งใหญ่ทั้งปวงตามที่เราได้กล่าวไว้35

ขอให้เราพยายามด้วยความนอบน้อมที่จะรักษาครอบครัวไม่ให้บอบช้ำ รักษาพวกเขาภายใต้อิทธิพลจากพระวิญญาณของพระเจ้า สั่งสอนอบรมพวกเขาด้วยหลักธรรมพระกิตติคุณเพื่อพวกเขาจะเติบโตในความชอบธรรมและความจริง … เรามี [บุตรธิดา] เพื่อเราจะอบรมพวกเขาในวิถีของชีวิต ชีวิตนิรันดร์ เพื่อพวกเขาจะกลับมายังที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาของพวกเขาอีกครั้ง36

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ใน “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” มีแบบอย่างของบิดามารดาที่แสดงความรักต่อบุตรธิดา ให้นึกถึงวิธีที่ท่านสามารถทำตามแบบอย่างเหล่านี้ โดยไม่คำนึงถึงความรับผิดชอบในครอบครัวท่าน บิดามารดาจะจัดระเบียบตนเองให้สามารถใช้เวลากับบุตรธิดามากขึ้นได้อย่างไร

  • ประธานสมิธกล่าวถึงอันตรายทางวิญญาณที่มีอยู่ในช่วงชีวิตท่าน (ดู หัวข้อที่ 1) มีอันตรายอะไรอีกบ้างที่มีอยู่ในปัจจุบัน บิดามารดาและปู่ย่าตายายจะช่วยบุตรหลานต่อต้านอิทธิพลเหล่านี้ได้อย่างไร

  • พิจารณาความไว้วางใจที่พระบิดาทรงวางไว้กับบิดามารดาเมื่อพระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเขาดูแลบุตรธิดาของพระองค์ (ดู หัวข้อที่ 2) พระองค์ประทานแนวทางและความช่วยเหลืออะไรบ้าง

  • ศาสนจักรเป็น “องค์การการรับใช้เพื่อช่วยเหลือครอบครัวและตัวบุคคล” ในทางใดบ้าง (ดู หัวข้อที่ 3) องค์การศาสนจักรช่วยท่านและครอบครัวท่านอย่างไร เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยให้บุตรธิดาและเยาวชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่

  • หัวข้อที่ 4 ระบุวิธีการหลายอย่างที่จะช่วยให้บุตรธิดาและเยาวชนดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ ขณะทบทวนคำแนะนำนั้น ให้พิจารณาคำถามต่อไปนี้ มีอะไรบ้างที่ท่านกับครอบครัวทำอยู่เวลานี้และดำเนินไปด้วยดี ท่านจะปรับปรุงในทางใดบ้าง ท่านจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยให้เยาวชนของศาสนจักรเสริมสร้างประจักษ์พยานของตนเอง

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

เฉลยธรรมบัญญัติ 6:1–7; สดุดี 132:12; โมไซยาห์ 1:4; 4:14–15; คพ. 68:25–28; 93:36–40; ดู “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก” ด้วย

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“จงระวังอย่างจบการสนทนาเร็วเกินไปเพื่อจะได้นำเสนอเนื้อหาทั้งหมดที่ท่านเตรียมไว้ แม้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด แต่สำคัญกว่าที่จะช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกถึงอิทธิพลของพระวิญญาณ แก้ไขปัญหาของเขา เพิ่มความเข้าใจในพระกิตติคุณ และผูกมัดตนมากขึ้นที่จะรักษาพระบัญญัติ” อย่างไรก็ดี เป็น “สิ่งสำคัญที่จะยุติการสนทนาในเวลาที่เหมาะสม วิญญาณแห่งการสนทนาที่ยกระดับจิตวิญญาณส่วนใหญ่จะขาดหายไปเมื่อการสนทนายืดเยื้อนานเกินไป … บริหารเวลา รู้ว่าควรจบบทเรียนเมื่อใด ให้เวลาแก่ตนเองมากพอที่จะสรุปสิ่งที่ได้พูดไปและแสดงประจักษ์พยาน” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999] หน้า 64, 65)

อ้างอิง

  1. ใน โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์และจอห์น เจ. สตูวาร์ท, The Life of Joseph Fielding Smith (1972), 40

  2. ใน The Life of Joseph Fielding Smith, > 40

  3. ใน ไบรอันท์ เอส. ฮิงค์ลีย์, “Joseph Fielding Smith,” Improvement Era, มิ.ย. 1932 หน้า 459

  4. ใน The Life of Joseph Fielding Smith, 56

  5. อมิเลีย สมิธ แมคคองกี, “Joseph Fielding Smith,” Church News, 30 ต.ค. 1993 หน้า 8, 10

  6. Message from the First Presidency, ใน Family Home Evenings 1970–1971 (คู่มือบทเรียนการสังสรรค์ในครอบครัว, 1970) หน้า ⅴ

  7. “Our Children—‘The Loveliest Flowers From God’s Own Garden,’” Relief Society Magazine, ม.ค. 1969 หน้า 5

  8. ใน Conference Report, ต.ค. 1916 หน้า 71–72

  9. ใน Conference Report, เม.ย. 1965 หน้า 11

  10. “The Sunday School’s Responsibility,” Instructor, พ.ค. 1949 หน้า 206; ดู Doctrines of Salvation, เรียบเรียงโดย บรูซ อาร์. แมคคองกี, ฉบับที่ 3 (1954–1956), 1:316 ด้วย

  11. Take Heed to Yourselves! (1966), 221

  12. ใน Conference Report, เม.ย. 1958 หน้า 29–30

  13. จดหมายส่วนตัว, อ้างอิงใน Doctrines of Salvation, 1:316; ปรับตัวเอน

  14. “Use the Programs of the Church,” Improvement Era, ต.ค. 1970 หน้า 3

  15. ใน Conference Report, เม.ย. 1958 หน้า 29–30

  16. “The Old and the New Magazines,” Improvement Era, พ.ย. 1970 หน้า 11

  17. “Mothers in Israel,” Relief Society Magazine, ธ.ค. 1970 หน้า 886

  18. ใน Conference Report, เม.ย. 1958 หน้า 30

  19. ใน Conference Report, เม.ย. 1970 หน้า 6

  20. “Our Children—‘The Loveliest Flowers From God’s Own Garden,’” 6

  21. ใน Conference Report, ต.ค. 1948 หน้า 153

  22. Take Heed to Yourselves! 414

  23. ใน Conference Report, ต.ค. 1948, 153

  24. “How to Teach the Gospel at Home,” Relief Society Magazine, ธ.ค. 1931 หน้า 685

  25. ใน Conference Report, เม.ย. 1958 หน้า 29

  26. “Keeping the Commandments of Our Eternal Father,” Relief Society Magazine, ธ.ค. 1966 หน้า 884

  27. Message from the First Presidency, ใน Family Home Evenings 1970–1971, ⅴ

  28. Message from the First Presidency, ใน Family Home Evenings (คู่มือบทเรียนการสังสรรค์ในครอบครัว, 1971) หน้า 4

  29. In “Message from the First Presidency,” Ensign, ม.ค. 1971 หน้า 1

  30. “Teach Virtue and Modesty,” Relief Society Magazine, ม.ค. 1963 หน้า 5

  31. ใน Conference Report, เม.ย. 1970 หน้า 5–6

  32. ใน Conference Report, เม.ย. 1970 หน้า 6

  33. “Mothers in Israel,” 886

  34. ใน Conference Report, ต.ค. 1948 หน้า 154

  35. “Mothers in Israel,” 886

  36. ใน Conference Report, เม.ย. 1958 หน้า 30