บทที่ 8
ศาสนจักรและอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า
“ขอให้มนุษย์ทั้งปวงรู้อย่างแน่นอนว่านี่คือศาสนจักรของพระเจ้า และพระองค์ทรงกำกับดูแลงานของศาสนจักร นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีสมาชิกภาพในสถาบันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้!”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
การรับใช้เป็นประธานศาสนจักรของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ นับจากวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1970 ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 เป็นช่วงชีวิตสำคัญที่สุดของการอุทิศตนในอาณาจักรของพระเจ้า ท่านพูดติดตลกว่าท่านได้รับงานมอบหมายงานแรกในศาสนจักรสมัยท่านเป็นทารก เมื่อท่านอายุเก้าเดือน ท่านและบิดา ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ เดินทางไปเซนต์จอร์จ ยูทาห์พร้อมกับประธานบริคัม ยังก์ เพื่อเข้าร่วมการอุทิศพระวิหารเซนต์จอร์จ1
ขณะเป็นหนุ่ม โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ รับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลา ต่อมาท่านได้รับเรียกเป็นประธานโควรัมฐานะปุโรหิตและสมาชิกคณะกรรมการสามัญของสมาคมการพัฒนาสหกิจกรรมเยาวชนชาย (ชื่อเดิมขององค์การเยาวชนชาย) นอกจากนี้ ท่านยังทำงานเป็นพนักงานในสำนักงานนักประวัติศาสตร์ศาสนจักร และท่านช่วยเหลือบิดาของท่านอย่างเงียบๆ โดยเป็นเลขานุการอย่างไม่เป็นทางการขณะที่บิดาท่านเป็นประธานศาสนจักร โดยผ่านโอกาสการรับใช้เหล่านี้ โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ รู้สึกขอบคุณองค์การที่ได้รับการดลใจของศาสนจักรและบทบาทขององค์การเหล่านั้นในการนำแต่ละคนและครอบครัวไปสู่ชีวิตนิรันดร์
โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ ได้รับแต่งตั้งเป็นอัครสาวกของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ วันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1910 ท่านรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองเป็นเวลาเกือบ 60 ปี รวมถึงการเป็นประธานโควรัมดังกล่าวเกือบ 20 ปี ในฐานะอัครสาวก ท่านช่วยกำกับดูแลศาสนจักรทั่วโลก ท่านมีส่วนร่วมในพันธกิจหลายด้านของศาสนจักร โดยรับใช้เป็นนักประวัติศาสตร์ศาสนจักร ประธานพระวิหารซอลท์เลค ประธานสมาคมลำดับการสืบเชื้อสายยูทาห์ และที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสูงสุด
โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ บุรุษผู้ดำเนินชีวิตเรียบง่ายและสุภาพอ่อนน้อมไม่เคยมักใหญ่ใฝ่สูง แต่เมื่อพระเจ้าทรงเรียกท่านให้รับใช้ ท่านเชื่อฟังด้วยความเต็มใจและกระตือรือร้น ท่านแสดงออกถึงการอุทิศตนอย่างเงียบๆ วันหนึ่ง เมื่ออายุ 89 ปี ท่านไปร่วมการประชุม โดยเดินจากบ้านท่าน ท่านลื่นตกบันได แต่ท่านก็เดินเป็นระยะทางประมาณสี่ไมล์ถึงแม้ว่าขาเจ็บ —“เดินกะเผลกเหมือนกับคนชรา” ท่านกล่าว—เพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบ หลังการประชุม ท่านเดินกลับบ้าน ซึ่งในที่สุดท่านยอมให้แพทย์ตรวจดูอาการ แพทย์พบว่าขาของประธานสมิธร้าวอยู่หลายที่ด้วยกัน ต่อมา ประธานสมิธแสดงความคิดเห็นกับประสบการณ์นี้ “การประชุมใช้เวลานานนิดหน่อย” ท่านกล่าว “แต่การประชุมส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น”2
ในข่าวสารถึงเยาวชนวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ประธานสมิธบอกเหตุผลที่ท่านอุทิศตนมากมายให้แก่งานของศาสนจักร ดังนี้
“ข้าพเจ้าทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์ ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยซูคริสต์คือพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดในเนื้อหนังของพระบิดา ข้าพเจ้ามีศรัทธาอันสมบูรณ์ในพันธกิจของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ และคนเหล่านั้นที่ช่วยให้ท่านประสบความสำเร็จ
“ข้าพเจ้าทราบว่าเรามีความจริงแห่งพระกิตติคุณอันเป็นนิจของพระเยซูคริสต์ เฉกเช่นข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ หากข้าพเจ้าไม่ทราบเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ต้องการมาอยู่ที่นี่ หรือทำอะไรกับงานนี้เลย แต่ข้าพเจ้าทราบทั้งจิตวิญญาณ พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยเรื่องนี้แก่ข้าพเจ้า”3
คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
หลังศตวรรษแห่งความมืดทางวิญญาณและการละทิ้งความเชื่อ พระเจ้าทรงฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระองค์และทรงจัดตั้งศาสนจักรขึ้นบนแผ่นดินโลก
พระเจ้า [ได้] ทรงฟื้นฟูพระกิตติคุณและทรงจัดตั้งศาสนจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลกอีกครั้ง เหตุผลของการจัดตั้งและการฟื้นฟูดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่โลกอยู่ในความมืดทางวิญญาณมานานหลายศตวรรษ โดยปราศจากสิทธิอำนาจ และปราศจากความเข้าใจ พวกเขาไม่ทราบว่าจะนมัสการพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์อย่างไร …
พันธสัญญาอันเป็นนิจถูกทำลาย ความเข้าใจที่ถูกต้องของหลักธรรมพระกิตติคุณสูญหายไปเพราะการละทิ้งความเชื่อ สิทธิในการปฏิบัติศาสนพิธีของพระกิตติคุณสิ้นสุดลงในบรรดามนุษย์ จึงจำเป็นที่ทุกอย่างนี้ต้องได้รับการฟื้นฟู เพื่อศรัทธาจะเพิ่มพูนในบรรดาผู้คนโดยผ่านการเปิดฟ้าสวรรค์และการฟื้นฟูพระกิตติคุณ
ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงส่งผู้ส่งสารจากที่ประทับของพระองค์ลงมา พร้อมด้วยความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณ พร้อมด้วยพลังและสิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิตเพื่อประสาทลงบนมนุษย์ และประทานบัญญัติแก่พวกเขา … เพราะพระเจ้าทรงทราบว่าภัยพิบัติต้องเกิดกับโลก จึงเป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่จะประทานพระดำรัสเตือนที่ถูกต้อง และประทานโอกาสในการรับพระกิตติคุณแก่มนุษย์ เพื่อพวกเขาจะกลับใจ ละทิ้งหนทางที่ชั่วร้ายและหันมารับใช้พระเจ้า [ดู คพ. 1:17–23]4
เราประกาศว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก สถานที่แห่งเดียวที่มนุษย์จะมาสู่การเรียนรู้หลักคำสอนที่แท้จริงเรื่องความรอดและค้นพบสิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์5
พี่น้องที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณจนสุดจะพรรณนา สำหรับพรมากมายที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ประทานแก่สมาชิกศาสนจักรที่ซื่อสัตย์ ซึ่งมีอยู่ในประชาชาติต่างๆ ของแผ่นดินโลก และแก่บุตรธิดาทุกคนของพระองค์ในทุกหนแห่ง
ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระองค์ทุกวันของชีวิตที่พระองค์ทรงฟื้นฟูพระกิตติคุณอันเป็นนิจในยุคสุดท้ายนี้ เพื่อความรอดของคนทั้งปวงที่เชื่อและเชื่อฟังกฎของพระกิตติคุณ6
2
พระเจ้าทรงกำกับดูแลงานของศาสนจักรด้วยพระองค์เอง และเป็นเอกสิทธิ์ของเราที่มีสมาชิกภาพในศาสนจักรนี้
ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นอาณาจักรที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก7
ข้าพเจ้าปรารถนาจะพูดว่าไม่มีมนุษย์คนใดสามารถนำศาสนจักรแห่งนี้ได้ นี่คือศาสนจักรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นประมุข ศาสนจักรใช้พระนามของพระองค์ มีฐานะปุโรหิตของพระองค์ ปฏิบัติพระกิตติคุณของพระองค์ สั่งสอนหลักคำสอนของพระองค์ และทำงานของพระองค์
พระองค์ทรงเลือกมนุษย์และทรงเรียกพวกเขาให้เป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์เพื่อทำให้จุดประสงค์ของพระองค์บรรลุผลสำเร็จ พระองค์ทรงนำทางและทรงกำกับดูแลงานที่พวกเขาทำ แต่มนุษย์เป็นเพียงเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้าเท่านั้น เกียรติและรัศมีภาพสำหรับสิ่งทั้งปวงที่ผู้รับใช้ของพระองค์ทำสำเร็จจึงเป็นและพึงเป็นของพระองค์ตลอดกาล
หากนี่เป็นงานของมนุษย์ งานนี้จะล้มเหลว แต่นี่คืองานของพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงล้มเหลว เรามีความมั่นใจได้ว่าหากเรารักษาพระบัญญัติและองอาจในประจักษ์พยานถึงพระเยซู แน่วแน่ต่อความวางใจทุกอย่าง พระเจ้าจะทรงนำทางและทรงกำกับดูแลเราและศาสนจักรของพระองค์ให้อยู่ในหนทางแห่งความชอบธรรม เพื่อความสำเร็จในจุดประสงค์ทั้งหมดของพระองค์8
ถึงสมาชิกศาสนจักรทุกคนทั่วโลก ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า ศาสนจักรแห่งนี้มีพันธกิจที่ได้รับมอบหมายจากเบื้องบน ที่จะปฏิบัติภายใต้การกำกับดูแลและการนำของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา และไม่มีสิ่งใดจะหยุดยั้งแผนของพระองค์ได้ สิ่งนี้จะทำให้เจตนารมณ์ของพระบิดาในสวรรค์มีสัมฤทธิผล ข้าพเจ้าหวังว่าวิสุทธิชนทั่วโลกจะขอบพระทัยพระเจ้าทุกวันสำหรับการเป็นสมาชิกในศาสนจักรของพระองค์ และสำหรับพันธกิจของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ในการฟื้นฟูพระกิตติคุณเพื่อปีติและความสุขของเรา9
ถึงคนที่มีใจสัตย์ซื่อในทุกประชาชาติ เรากล่าวว่า พระเจ้าทรงรักพวกท่าน พระองค์ทรงต้องการให้พวกท่านได้รับพรทั้งหมดของพระกิตติคุณ บัดนี้ พระองค์ทรงเชื้อเชิญพวกท่านให้เชื่อพระคัมภีร์มอรมอน ให้ยอมรับโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ และให้มาสู่อาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลก และกลายเป็นทายาทแห่งชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรบนสวรรค์ของพระองค์10
ไม่เคยมีสักครั้งที่มนุษย์จะนำศาสนจักรนับแต่การจัดตั้งศาสนจักร ทั้งไม่เคยมีในสมัยของโจเซฟ สมิธหรือบริคัม ยังก์ เช่นกัน ไม่เคยเลยนับตั้งแต่วันนั้น นี่คืองานของพระเจ้า และจงอย่าลืมว่าพระผู้ทรงฤทธานุภาพต่างหากที่ทรงงานนี้ หาใช่มนุษย์ไม่11
ข้าพเจ้าทราบว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายคืออาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก ดังที่ได้รับการจัดตั้งและนำอยู่ขณะนี้ ได้รับอนุมัติจากพระเจ้า และกำลังดำเนินไปตามวิถีที่ทรงกำกับดูแล
ขอให้มนุษย์ทั้งปวงรู้อย่างแน่นอนว่านี่คือศาสนจักรของพระเจ้า พระองค์ทรงกำกับดูแลกิจจานุกิจของศาสนจักร นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีสมาชิกภาพอยู่ในสถาบันอันสูงส่งเช่นนี้!12
3
ศาสนจักรได้รับการจัดตั้งเพื่อช่วยให้สมาชิกค้นพบปีติและความสุขในชีวิตนี้และชีวิตนิรันดร์ในชีวิตที่จะมาถึง
พระเจ้าทรงสถาปนาสิ่งทั้งปวงเพื่อประทานระบบที่ดีพร้อมแก่เรา มนุษย์ไม่สามารถปรับปรุงสิ่งนี้ได้ หากเราจะทำตามสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผย ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยมาแล้ว ทุกสิ่งจึงจะดีพร้อม เพราะองค์การนี้เป็นองค์การที่ดีพร้อม ทฤษฎีของสิ่งนี้—แผนของสิ่งนี้—ไม่มีข้อบกพร่องเลย13
พระเจ้าทรงจัดตั้งองค์การฐานะปุโรหิตในศาสนจักร โดยมีอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์เป็นผู้นำ และยังประทานองค์การอื่นๆ อีก … เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือฐานะปุโรหิต
ในสมัยการประทานพระกิตติคุณทุกสมัยต่างมีความต้องการพิเศษ ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และต้องให้ความสนับสนุนช่วยเหลือสมาชิกศาสนจักรฝึกฝนตนเองให้คู่ควรแก่ความรอด “ด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น” ต่อพระพักตร์พระเจ้า (ดู ฟีลิปปี 2:12) ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีองค์การช่วย [สมาคมสงเคราะห์ เยาวชนชาย เยาวชนหญิง ปฐมวัย และโรงเรียนวันอาทิตย์] คอยให้ความช่วยเหลือฐานะปุโรหิต องค์การเหล่านี้จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของผู้คน ไม่ว่าสภาพทางสังคมที่มีอยู่จะเป็นอย่างไรก็ตาม นี่คือส่วนหนึ่งในการปกครองของพระผู้เป็นเจ้า องค์การต่างๆ มีไว้เพื่อช่วยสมาชิกศาสนจักรดำเนินชีวิตให้ดีพร้อม และทำงานเหล่านั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่พวกเขาถึงปีติและความสุขในชีวิตนี้และชีวิตนิรันดร์ในชีวิตที่จะมาถึง …
ศาสนจักรและตัวแทนเป็นองค์การบำเพ็ญประโยชน์ที่ช่วยเหลือครอบครัวและแต่ละบุคคล ผู้สอนประจำบ้าน ผู้นำฐานะปุโรหิต และอธิการได้รับมอบหมายให้นำคนเหล่านั้นไปสู่ชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรของพระบิดา องค์การช่วยก็ได้รับมอบหมายให้ช่วยเหลืองานอันยิ่งใหญ่แห่งความรอดนี้เช่นกัน
เราไม่อาจเน้นหนักไปกว่านี้อีกแล้วถึงความต้องการมากมายที่จะใช้โปรแกรมทุกอย่างเหล่านี้เพื่อเป็นประโยชน์และพรแก่บุตรธิดาทุกคนของพระบิดา …
หากเราทำทุกสิ่งที่ควรทำ ในการทำให้โปรแกรมของศาสนจักรรุดหน้า พระเจ้าจะประทานพรและทำให้เรารุ่งเรืองเต็มที่จนเราประสบความสำเร็จสมกับที่ได้ลงแรง และจากสิ่งนี้สันติสุขและปีติจะเป็นรางวัลของเราที่นี่และรัศมีภาพนิรันดร์หลังจากนี้14
4
การรับใช้ของเราในศาสนจักรแสดงถึงความรักที่เรามีต่อผู้อื่น และความซาบซึ้งสำหรับการรับใช้อันไม่มีขอบเขตของพระเจ้า
พระเจ้าทรงอยู่กับศาสนจักร พระองค์ทรงนำทางเรา พระวิญญาณของพระองค์ทรงพักผ่อนกับผู้คนเหล่านี้ สิ่งที่ทรงเรียกร้องจากเราคือ ให้เรารับใช้พระองค์ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ด้วยใจและจิตวิญญาณเดียวกัน15
พระผู้ช่วยให้รอดของเราเสด็จมาในโลกเพื่อสอนให้เรารักกัน บทเรียนอันยิ่งใหญ่แสดงให้ประจักษ์ผ่านความทุกขเวทนาแสนสาหัสและการสิ้นพระชนม์เพื่อเราจะมีชีวิต แล้วเราจะไม่แสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ของเราโดยการรับใช้พวกเขาในฐานะที่เราเป็นตัวแทนของพระองค์หรือ เราไม่ควรแสดงความซาบซึ้งต่อการรับใช้อันไม่มีขอบเขตที่ทรงทำเพื่อเรา โดยการรับใช้ในอุดมการณ์ของพระองค์หรือ
คนที่ทำสิ่งเหล่านั้นในศาสนจักรเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตนเองจะไม่มีวันไปถึงความสูงส่ง ตัวอย่างเช่น คนที่เต็มใจสวดอ้อนวอน จ่ายส่วนสิบและการบริจาค เข้าร่วมหน้าที่ธรรมดาๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวอย่างเดียวและไม่ทำอะไรมากกว่านั้น จะไม่มีวันเข้าถึงจุดหมายแห่งความดีพร้อมได้เลย16
จงอย่าปฏิเสธการรับใช้ เมื่อเจ้าหน้าที่ควบคุมขอความช่วยเหลือจากท่าน จงยินดีรับและทำงานให้ดีที่สุด พระเจ้าทรงคาดหวังสิ่งนี้จากเรา และเราอยู่ภายใต้พันธสัญญาให้ทำเช่นนั้น งานนี้นำมาซึ่งปีติและสันติสุข ขณะเดียวกัน คนที่รับใช้ก็ได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ครูได้รับมากกว่าคนที่เขาสอน พรที่ย้อนกลับมาหาเราเมื่อเรายอมรับการเรียกให้ทำงานในศาสนจักรนั้นยิ่งใหญ่กว่าพรใดๆ ที่เราจะให้ผู้อื่นได้ คนที่ปฏิเสธการทำงานหรือบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบในศาสนจักรเมื่อมอบหมายงานให้เขานั้น อยู่ในห้วงอันตรายของการสูญเสียการนำทางจากพระวิญญาณ ในที่สุด เขาจะเมินเฉยและไม่แยแสหน้าที่ทุกอย่าง เป็นดังพืชที่ไม่ได้รับการบำรุงและรดน้ำ เขาจะเหี่ยวเฉาและตายในความตายทางวิญญาณนั่นเอง17
การรับใช้ของท่านมิได้ถูกมองข้ามจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ท่านรับใช้พระองค์และทำงานของพระองค์อยู่ในเวลานี้18
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้เราทุกคนทำงานด้วยกันฉันพี่น้องที่แท้จริงในอาณาจักรของพระเจ้า ขอจงทำงานยิ่งใหญ่ที่รออยู่เบื้องหน้าให้บรรลุผลสำเร็จ19
5
ในสมัยการประทานนี้ อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและงานของพระเจ้าจะแผ่ขยายไปทั่วโลก
สมัยการประทานพระกิตติคุณกำหนดไว้แล้วเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับเลือกจากเบื้องบน โดยการมอบหมายจากพระผู้เป็นเจ้าด้วยพลังอำนาจและสิทธิอำนาจในการเผยแผ่พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า และเพื่อปฏิบัติศาสนพิธีในนั้นทั้งหมด …
มีช่วงเวลาที่พระกิตติคุณถูกนำไปจากมนุษย์เพราะการล่วงละเมิด เช่นเดียวกับสมัยของโนอาห์ อิสราเอลหันหลังให้พระเจ้าและถูกทิ้งให้อยู่ในความมืดหลายชั่วอายุคนจนถึงการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ เมื่อพระองค์เสด็จมาท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงฟื้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณ ทรงส่งสานุศิษย์ออกไปประกาศข่าวสารของพระองค์ทั่วโลก แต่ไม่กี่ศตวรรษผ่านไป ผู้คนก็ตกอยู่ในความผิดพลาดและสูญเสียสิทธิอำนาจที่จะกระทำในพระนามของพระเจ้าอีกครั้ง สิ่งนี้ทำให้จำเป็นต้องเปิดฟ้าสวรรค์และการแนะนำสมัยการประทานใหม่เพื่อเตรียมรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเจ้าในเมฆแห่งสวรรค์เพื่อปกครองแผ่นดินโลกในรัศมีภาพเป็นเวลาหนึ่งพันปี ซึ่งการนั้นใกล้เข้ามาแล้ว แม้อยู่ที่ประตูของเรา20
พระกิตติคุณนี้เป็นแบบเดียวกันกับสมัยการประทานทั้งปวง แผนแห่งความรอดเป็นแผนเดียวกันที่มีไว้เพื่อบุตรธิดาของพระบิดาในทุกยุคสมัย สิ่งนี้สูญหายไปเป็นครั้งคราวโดยการละทิ้งความเชื่อ แต่เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมีผู้คนอยู่บนแผ่นดินโลก พวกเขาก็ได้รับกฎและความจริงของความรอดเดียวกันกับที่ทรงเปิดเผยต่อเรา
มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพิ่มเติมมาหนึ่งอย่างที่เราได้รับในสมัยนี้ ซึ่งไม่มีสมัยใดเคยมีมาก่อน ในสมัยการประทานนี้ พระเจ้าทรงประกาศิตว่าศาสนจักรจะไม่มีวันหลงทางอีก เวลานี้พระกิตติคุณอยู่ที่นี่ เวลานี้ความจริงที่ได้รับการเปิดเผยถูกกำหนดไว้เพื่อให้ผู้คนเตรียมรับการเสด็จมาครั้งที่สองของบุตรมนุษย์ และศาสนจักรจะได้รับการสถาปนาทั่วภูมิภาคของแผ่นดินโลก เมื่อพระเจ้าเสด็จมาเพื่อเริ่มต้นยุคมิลเลเนียมแห่งสันติสุขและความชอบธรรม21
เราเป็นสมาชิกศาสนจักรของโลก ศาสนจักรที่มีแผนแห่งชีวิตและความรอด ศาสนจักรที่จัดตั้งโดยพระเจ้าพระองค์เอง ในยุคสุดท้ายนี้เพื่อนำข่าวสารแห่งความรอดของพระองค์ไปยังบุตรธิดาทุกคนของพระองค์ทั่วทั้งแผ่นดินโลกโลก …
เราได้รับร่างกายและพละกำลังที่ทำให้เราสามารถบรรลุผลสำเร็จในหน้าที่ซึ่งพระเจ้าประทานแก่เราโดยผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธว่าเราควรนำข่าวประเสริฐแห่งการฟื้นฟูไปสู่ทุกประชาชาติและผู้คนทั้งปวง
และเราไม่เพียงสั่งสอนพระกิตติคุณในทุกประชาชาติก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของบุตรมนุษย์เท่านั้น แต่เราจะทำพันธสัญญาและสถาปนาการชุมนุมของวิสุทธิชนท่ามกลางพวกเขาด้วย22
อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและงานของพระเจ้าจะแผ่ขยายมากขึ้น และจะรุดหน้าในโลกในอนาคตเร็วกว่าที่เป็นมาในอดีต พระเจ้าตรัสไว้ดังนี้ พระวิญญาณรับสั่งคำพยาน และข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานถึงสิ่งนี้ เพราะข้าพเจ้าทราบว่านี่เป็นความจริง อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นี่เพื่อเติบโต เพื่อแผ่ขยายไปต่างแดน เพื่อหยั่งรากในแผ่นดิน และเพื่อสถิตในสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงเพาะไว้โดยพลังอำนาจและพระวจนะของพระองค์เอง และจะไม่มีวันถูกทำลาย แต่จะดำเนินต่อไปจนกว่าพระประสงค์ของพระผู้ทรงฤทธานุภาพจะสำเร็จ—หลักธรรมทุกประการที่ศาสดาพยากรณ์กล่าวไว้นับแต่โลกเริ่มต้น นี่คืองานของพระผู้เป็นเจ้า โดยพระปรีชาญาณของพระองค์มิใช่ปัญญาของมนุษย์ พระองค์ทรงฟื้นฟูสู่แผ่นดินโลกในยุคสุดท้ายนี้ด้วยพระองค์เอง23
พระกิตติคุณมีไว้เพื่อมนุษย์ทั้งปวง และศาสนจักรจะได้รับการสถาปนาทุกหนแห่ง ในทุกประชาชาติ แม้จนสุดแดนแผ่นดินโลก ก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของบุตรมนุษย์24
ข้าพเจ้าทราบและเป็นพยานว่าจุดประสงค์ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกจะมีชัยชนะ ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายอยู่ที่นี่เพื่อดำรงอยู่ งานของพระเจ้าจะชนะ ไม่มีอำนาจใดบนแผ่นดินโลกจะขัดขวางการแผ่ขยายความจริงและการสั่งสอนพระกิตติคุณในทุกประชาชาติได้25
ข้าพเจ้าฝากพรของข้าพเจ้าไว้กับท่านทั้งหลายพร้อมด้วยความเชื่อมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่กับผู้คนของพระองค์ และงานที่เราทำจะชนะและกลิ้งออกไปจนกว่าพระประสงค์นิรันดร์ของพระเจ้าจะมีสัมฤทธิผล26
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
เราจะทำตามแบบอย่างของประธานสมิธในการรับใช้ศาสนจักรได้อย่างไรบ้าง (ดู “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ”)
-
ไตร่ตรองคำสอนของประธานสมิธเกี่ยวกับการฟื้นฟูพระกิตติคุณ (ดูหัวข้อที่ 1) ท่านรู้สึกอย่างไรเมื่อท่านนึกถึงการมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ศาสนจักรของพระเจ้าได้รับการฟื้นฟูสู่แผ่นดินโลก
-
ประธานสมิธเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นประมุขของศาสนจักร (ดู หัวข้อที่ 2) ท่านจะแบ่งปันประจักษ์พยานของท่านที่มีต่อความจริงนี้กับใครสักคนที่ไม่ใช่สมาชิกของศาสนจักรอย่างไร
-
องค์การต่างๆ และโปรแกรมของศาสนจักรช่วยให้ท่านได้รับพรที่กล่าวไว้ในหัวข้อที่ 3 อย่างไร สิ่งเหล่านั้นช่วยเหลือครอบครัวของท่านอย่างไรบ้าง
-
ประธานสมิธกล่าว “พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาในโลกเพื่อสอนให้เรารักกัน” (หัวข้อที่ 4) เราจะทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดเรื่องความรักในทางใดได้บ้าง เมื่อเรารับใช้เป็นผู้สอนประจำบ้านหรือผู้เยี่ยมสอน
-
ขณะทบทวนหัวข้อที่ 5 ให้สังเกตว่าสมัยการประทานนี้แตกต่างจากสมัยการประทานอื่นๆ อย่างไร ความเข้าใจนี้มีอิทธิพลต่อการรับใช้ในศาสนจักรอย่างไร ท่านมีความรู้สึกอย่างไรขณะนึกถึงการเตรียมโลกเพื่อรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระผู้ช่วยให้รอด
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“เมื่อท่านใช้กิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย ผู้เรียนมักจะเข้าใจหลักธรรมพระกิตติคุณได้ดีขึ้นและจำได้มากขึ้น วิธีการที่คัดเลือกมาอย่างระมัดระวังจะทำให้หลักธรรมชัดเจนขึ้น น่าสนใจมากขึ้น และจำง่ายขึ้น” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999] หน้า 89)