บทที่ 56
หลักคำสอนและพันธสัญญา 49
คำนำ
ลีมัน คอพลีย์ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสศาสนจักรต้องการให้ผู้สอนศาสนาสั่งสอนพระกิตติคุณแก่สมาชิกนิกายเชเคอร์สซึ่งเป็นกลุ่มศาสนาเดิมของเขา แต่เขายังคงยึดถือความเชื่อผิดๆ บางอย่างของศาสนานั้น ด้วยความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อที่ยังเหลืออยู่ของลีมัน โจเซฟ สมิธทูลถามพระเจ้าเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1831 และได้รับการเปิดเผยที่เวลานี้บันทึกไว้ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 49
ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน
หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:1–4
พระเจ้าทรงเรียกซิดนีย์ ริกดัน, พารลีย์ พี. แพรทท์ และลีมัน คอพลีย์ให้สั่งสอนกลุ่มเชเคอร์ส
ก่อนชั้นเรียนให้ทำกับดักลิงหรือ วาดภาพประกอบ ไว้บนกระดาน นำกล่องมีฝามาทำกับดับลิง ติดฝากับกล่องให้แน่นและตัดกล่องด้านหนึ่งให้เป็นช่องกว้างพอที่นักเรียนจะแบมือสอดเข้าไปได้โดยไม่ต้องกำมือ วางผลไม้ชิ้นหนึ่งหรือลูกบอลลูกหนึ่งไว้ในกล่อง
ถามนักเรียนว่าพวกเขารู้วิธีจับลิงหรือไม่ (ถ้าพวกเขารู้วิธี ขอให้พวกเขาอธิบายให้นักเรียนคนอื่นๆ ฟัง ถ้าท่านทำกับดักไว้แล้ว ท่านอาจจะเชิญนักเรียนคนหนึ่งสาธิตวิธีที่ติดกับ) เสนอว่าวิธีหนึ่งในการดักลิงคือวางของที่ลิงชอบไว้ในกล่องที่มีช่องใหญ่พอจะให้ลิงยื่นมือเข้าไปได้ เมื่อลิงจับของชิ้นนั้น มันจะไม่สามารถดึงมือที่กำของออกมาได้ เพราะของที่มันกำใหญ่เกินกว่าจะผ่านช่องนั้นออกมา ในเมื่อมันตั้งใจกำไว้ไม่ยอมปล่อย ลิงบางตัวจึงยอมให้ตัวถูกจับ
เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่านคำนำภาคของ หลักคำสอนและพันธสัญญา 49 ในใจและมองหาสถานการณ์ที่เหมือนกับดักลิง หลังจากนักเรียนชี้ให้เห็นว่าลีมัน คอพลีย์พยายามทิ้งความเชื่อบางอย่างของเชเคอร์ส ขอให้นักเรียนเขียนความเชื่อบางอย่างของเชเคอร์ส
ขณะที่นักเรียนตอบ ให้เขียนคำตอบของพวกเขาไว้บนกระดาน ตามตัวอย่างด้านล่าง ไม่ต้องเขียนคอลัมน์ที่เป็นหัวข้อ “หลักคำสอนของพระเจ้า” ท่านจะเพิ่มคอลัมน์นี้ในช่วงหลังของบทเรียน
ความเชื่อของเชเคอร์ส |
หลักคำสอนของพระเจ้า |
---|---|
| |
| |
| |
| |
|
ถ้านักเรียนอยากรู้เรื่องชื่อ เชเคอร์ ให้อธิบายว่าสมาชิกของสมาคมสมานฉันท์แห่งผู้เชื่อในการปรากฏครั้งที่สองของพระคริสต์ มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่าเชเคอร์สเพราะรูปแบบการนมัสการของพวกเขา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการโยกตัวขณะร้องเพลง เต้นรำ และปรบมือตามจังหวะเพลง
เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:1–4 ขอให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยเกี่ยวกับนิกายเชเคอร์ส
-
พระเจ้าตรัสถึงนิกายเชเคอร์สว่าอย่างไร (ดู ข้อ 2)
-
ท่านคิดว่า “ปรารถนาจะรู้ความจริงบางส่วน, แต่ไม่ทั้งหมด” หมายความว่าอย่างไร” (พวกเขายอมรับคำสอนบางอย่างของพระผู้เป็นเจ้าแต่มองข้ามหรือปฏิเสธคำสอนอื่น)
-
ทุกวันนี้สมาชิกของศาสนจักรอาจจะมีเจตคติคล้ายกันในด้านใด
เขียนข้อความที่ไม่ครบถ้วนต่อไปนี้ไว้บนกระดาน: การถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้ารวมถึง …
ถามนักเรียนว่าพวกเขาจะเติมหลักธรรมนี้ให้ครบถ้วนตามพระดำรัสของพระเจ้าใน ข้อ 2ว่าอย่างไร ขณะที่นักเรียนตอบ ให้เติมหลักธรรมบนกระดานให้ครบถ้วน: การถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้ารวมถึงความปรารถนาจะรับความจริงทั้งหมดที่พระองค์ทรงเปิดเผย ท่านอาจต้องการเสนอแนะให้นักเรียนเขียนหลักธรรมนี้ไว้ในพระคัมภีร์ของพวกเขาข้างๆ ข้อ 2 ชี้ให้เห็นว่าหากเราปรารถนาจะรู้ความจริงอย่างตั้งใจจริง เราย่อมปรารถนาจะดำเนินชีวิตตามความจริงด้วย
-
เหตุใดลีมัน คอพลีย์จึงต้องได้รับคำแนะนำใน ข้อ 2 หลักธรรมนี้จะช่วยเราได้อย่างไร
-
บุคคลจะพลาดพรอะไรบ้างหากเลือกยอมรับความจริงเพียงบางส่วน
กล่าวถึงกับดักลิง เชื้อเชิญให้นักเรียนเขียนกับดักบางอย่างที่อาจชักนำผู้คนให้ปฏิเสธคำสอนบางอย่างของพระผู้เป็นเจ้า—การกระทำและเจตคติที่ผู้คนยึดมั่นซึ่งทำให้พวกเขาไม่ถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้า (ตัวอย่างบางเรื่องอาจได้แก่ การแก้ตัวให้นิสัยที่เป็นภัย ฟังเพลงที่ขับไล่พระวิญญาณ เข้าร่วมกิจกรรมในวันอาทิตย์ที่ไม่เหมาะกับวันสะบาโต ชอบคำสอนและปรัชญาของโลกมากกว่าคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า และไม่ยอมรับพระบัญญัติว่าต้องให้อภัยผู้อื่น)
-
การยึดมั่นการกระทำและเจตคติเช่นนั้นส่งผลอะไรบ้าง ทั้งหมดนี้เหมือนกับดักอย่างไร
เชื้อเชิญให้นักเรียนพิจารณาว่าพวกเขาจะต้องละทิ้งสิ่งใดเพื่อให้ได้รับพรทั้งหมดที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงประสงค์จะประทานแก่พวกเขา ท่านอาจเชื้อเชิญให้พวกเขาตั้งเป้าหมายละทิ้งบางอย่างที่กีดกั้นพวกเขาไม่ให้ถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้า
หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:5–28
พระเจ้าทรงแก้ไขหลักคำสอนเท็จของนิกายเชเคอร์สและทรงบัญชาให้ผู้รับใช้ของพระองค์เชื้อเชิญคนเหล่านั้นให้กลับใจและรับบัพติศมา
เตือนนักเรียนว่าพระเจ้าทรงบัญชาลีมัน คอพลีย์, ซิดนีย์ ริกดัน และพาร์ลีย์ พี. แพรทท์ให้สั่งสอนพระกิตติคุณแก่นิกายเชเคอร์ส (ดู คพ. 49:1–4) อธิบายว่าก่อนได้รับพระบัญชานี้ ลีมัน คอพลีย์ “ร้อนใจอยากให้เอ็ลเดอร์บางคนไปสั่งสอนพระกิตติคุณให้กับพวกที่เคยเป็นพี่น้องของเขา [เชเคอร์ส]” (Histories, Volume 2: Assigned Histories, 1831–1847, vol. 2 of the Histories series of The Joseph Smith Papers [2012], 37) เมื่อเอ็ลเดอร์เหล่านี้ไปสอนนิกายเชเคอร์ส พวกเขาอ่านการเปิดเผยใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 49 ให้คนเหล่านั้นฟัง
ลอกคอลัมน์ที่สองของแผนภาพจากต้นบทเรียนนี้ไว้บนกระดาน
แบ่งชั้นเรียนออกเป็นห้ากลุ่ม มอบหมายข้อพระคัมภีร์ที่ท่านเขียนไว้บนกระดานให้กลุ่มละหนึ่งข้อ (หากชั้นเรียนเล็ก ให้นักเรียนแบ่งกันอ่านและสนทนาในห้องเรียน) เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่านข้อที่มอบหมาย โดยมองหาหลักคำสอนและหลักธรรมที่แก้ไขความเชื่อผิดๆ ของนิกายเชเคอร์ส
เมื่อนักเรียนมีเวลาศึกษามากพอแล้ว ขอให้พวกเขาสนทนาคำถามต่อไปนี้ในกลุ่มของตนและเตรียมแบ่งปันคำตอบกับชั้นเรียน
-
นิกายเชเคอร์สและลีมัน คอพลีย์ต้องเข้าใจหลักคำสอนและหลักธรรมอะไรบ้าง
-
ข้อที่มอบหมายให้ท่านอ่านอธิบายความจริงเหล่านี้ว่าอย่างไร
เมื่อกลุ่มมีเวลาอ่านและสนทนามากพอแล้ว ขอให้นักเรียนคนหนึ่งจากแต่ละกลุ่มตอบคำถามเหล่านี้ให้นักเรียนทั้งชั้นฟัง ท่านอาจต้องการเสนอแนะให้นักเรียนทำเครื่องหมายข้อที่สอนความจริงที่พวกเขาระบุ
นักเรียนควรระบุหลักคำสอนและหลักธรรมต่อไปนี้ (สังเกตว่าความจริงเหล่านี้เรียงตามรายการความเชื่อผิดๆ บนกระดาน) ขณะนักเรียนกล่าวถึงความจริงเหล่านี้ ท่านอาจจะใช้คำถามติดตามผลเพื่อกระตุ้นให้สนทนามากขึ้น
-
ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:7นักเรียนควรระบุหลักคำสอนต่อไปนี้: นอกจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วไม่มีใครรู้ว่าการเสด็จมาครั้งที่สองจะเกิดขึ้นเมื่อใด
-
ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:22–25หลักธรรมหนึ่งที่นักเรียนอาจระบุคือ: หากเรารู้เครื่องหมายการเสด็จมาครั้งที่สอง เราจะไม่ถูกหลอกด้วยคำกล่าวอ้างผิดๆ
-
ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:11–14นักเรียนควรระบุหลักคำสอนต่อไปนี้: พระเยซูคริสต์ทรงบัญชาให้ผู้รับใช้ของพระองค์ขอร้องผู้คนให้เชื่อในพระองค์ กลับใจ รับบัพติศมา และรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
-
เหตุใดท่านจึงสำนึกคุณที่ท่านได้รับบัพติศมาและของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหตุใดท่านจึงตั้งตารอจะช่วยคนอื่นๆ ให้ได้รับศาสนพิธีเหล่านี้
-
-
ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:15–17นักเรียนควรระบุหลักคำสอนต่อไปนี้หนึ่งข้อหรือมากกว่านั้น: การแต่งงานระหว่างชายหญิงได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า และ สามีภรรยาได้รับบัญชาให้เป็นหนึ่งเดียวกันและมีบุตร ท่านอาจจะต้องอธิบายวลี “เพื่อแผ่นดินโลกจะสามารถสนองตอบเจตนารมณ์ของการสร้าง; และเพื่อจะได้เต็มไปด้วยมนุษย์ตามจำนวนที่กำหนดไว้” ข้อความนี้สอนว่าจุดประสงค์ประการหนึ่งของการสร้างแผ่นดินโลกคือเพื่อจัดเตรียมที่ให้บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าได้อยู่เป็นครอบครัว
-
การแต่งงานระหว่างชายกับหญิงทำให้บรรลุจุดประสงค์อะไรบ้างในแผนของพระบิดาบนสวรรค์
-
“ห้ามการแต่งงาน” ขัดกับแผนของพระบิดาบนสวรรค์อย่างไร
-
ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 16พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นชอบการแต่งงานแบบดั้งเดิมระหว่างชายกับหญิง ผู้คนพยายามเย้ยหยันหรือทำลายการแต่งงานแบบดั้งเดิมด้วยวิธีใดบ้าง
-
เยาวชนชายและเยาวชนหญิงจะทำอะไรได้บ้างเวลานี้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงานซีเลสเชียล
-
-
ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:18–21นักเรียนควรระบุหลักคำสอนต่อไปนี้: พระเจ้าทรงจัดเตรียมสัตว์ของแผ่นดินโลกให้เราใช้ประโยชน์ (ท่านอาจต้องอธิบายว่า เครื่องนุ่งห่ม หมายถึงเสื้อผ้า)
-
มีคำเตือนอะไรใน ข้อ 21 ท่านคิดว่าเหตุใดพระเจ้าจึงไม่พอพระทัยคนที่ฆ่าสัตว์โดยไม่จำเป็น
-
อธิบายว่านิกายเชเคอร์สและลีมัน คอพลีย์ไม่ทำตามคำแนะนำของพระเจ้า นิกายเชเคอร์สปฏิเสธข่าวสารของผู้สอนศาสนา ลีมัน คอพลีย์กลับไปรับความเชื่อเดิมและออกจากศาสนจักร
สรุปโดยขอให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:26–28 ขอให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาคำแนะนำและคำสัญญาของพระเจ้า (ท่านอาจต้องอธิบายว่า ระวังหลัง หมายถึงคนที่คุ้มกันคนอื่นจากด้านหลัง)
เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่านทวนข้อเหล่านี้ในใจพร้อมกับคิดว่าจะประยุกต์ใช้คำแนะนำและคำสัญญาของพระเจ้ากับพวกเขาแต่ละคนอย่างไร แบ่งปันประจักษ์พยานของท่านเกี่ยวกับพรที่เกิดขึ้นเมื่อเราแสวงหาคำสอนของพระเจ้าและทำตาม
บทวิจารณ์และข้อมูลภูมิหลัง
หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:2 ปรารถนาจะ “รู้ความจริงบางส่วน”
เอ็ลเดอร์เกลนน์ แอล. เพซแห่งสาวกเจ็ดสิบพูดถึงอันตรายของการเชื่อฟังคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์เพียงบางส่วน ดังนี้
ภาพเกล็น แอล. เพซ“มีสมาชิกบางคนของเราเลือกเชื่อฟัง ศาสดาพยากรณ์ไม่ใช่คนจัดวางความจริงอันหลากหลายให้เราเลือกรับตามใจชอบ อย่างไรก็ดี สมาชิกบางคนวิพากษ์วิจารณ์และเสนอแนะให้ศาสดาพยากรณ์เปลี่ยนเมนู ศาสดาพยากรณ์ไม่สำรวจความคิดเห็นเพื่อดูว่ากระแสความเห็นของสาธารณชนกำลังพัดไปทางใด ท่านเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าต่อเรา โลกเต็มไปด้วยนิกายต่างๆ ที่คล้อยตามความคิดเห็นของสาธารณชนและตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเขาอยากได้ยินมากกว่าจะเชื่อฟังกฎของพระผู้เป็นเจ้า
“ค.ศ. 1831 ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสบางคนต้องการนำความเชื่อเดิมบางอย่างเข้ามาในศาสนจักร ปัญหาของเราในทุกวันนี้อยู่กับสมาชิกที่ดูเหมือนเปราะบางมากต่อแนวโน้มในสังคม (และนิ้วที่ชี้มายังพวกเขา) และต้องการให้ศาสนจักรเปลี่ยนจุดยืนให้เข้ากับพวกเขา หญ้าหลักคำสอนที่อยู่อีกด้านของรั้วดูเขียวมากสำหรับพวกเขา
“คำแนะนำของพระเจ้าในปี 1831 เกี่ยวข้องกับปัจจุบัน: ‘ดูเถิด, เรากล่าวแก่เจ้า, ว่าพวกเขาปรารถนาจะรู้ความจริงบางส่วน, แต่ไม่ทั้งหมด, เพราะพวกเขาไม่ถูกต้องต่อหน้าเราและจำเป็นต้องกลับใจ.’ (คพ. 49:2)
“เราต้องยอมรับความจริงที่สมบูรณ์—แม้ความจริงทั้งหมด—‘สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า’ (เอเฟซัส 6:11) และไปทำงานเสริมสร้างอาณาจักร เราแต่ละคนอาจถามตัวเราว่า ‘ฉันเป็นผู้เอื้อประโยชน์ต่อการเสริมสร้างอาณาจักรในวันเวลาของฉันในสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลานี้หรือไม่’” (“Follow the Prophet,” Ensign, May 1989, 26–27)
หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:7 “โมงและวันไม่มีมนุษย์คนใดรู้”
ท่านอาจต้องการแบ่งปันข้อความต่อไปนี้ของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ โดยเตือนเรื่องคนที่อ้างว่ารู้เวลาเสด็จมาครั้งที่สองของพระผู้ช่วยให้รอด: “พระเยซูคริสต์ไม่มีวันเปิดเผยเวลาแน่นอนที่พระองค์จะเสด็จมาต่อมนุษย์คนใด [ดู มัทธิว 24:36; คพ. 49:7] ไปอ่านพระคัมภีร์เถิด และท่านจะไม่พบข้อใดระบุโมงอันแน่ชัดที่พระองค์จะเสด็จมา และทุกคนที่กล่าวเช่นนั้นคือผู้สอนเท็จ” (คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ [2007], 272)
หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:15–17 “การแต่งงานได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า”
ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ยกย่องการแต่งงานระหว่างชายกับหญิงในคำกล่าวต่อไปนี้
ภาพประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์“การแต่งงานภายใต้แผนของพระบิดานิรันดร์เป็นเรื่องวิเศษเหลือเกิน แผนที่จัดเตรียมไว้ในพระปรีชาญาณของพระองค์เพื่อความสุขและความมั่นคงของลูกๆ พระองค์และความต่อเนื่องของเผ่าพันธุ์มนุษย์ …
“ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธเคยประกาศ ‘ว่าไม่มีชายใดรอดและสูงส่งได้ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าหากปราศจากหญิง และไม่มีหญิงใดบรรลุความดีพร้อมและความสูงส่งในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าตามลำพังได้ … พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญญัติการแต่งงานตั้งแต่ต้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ตามรูปลักษณ์ของพระองค์และเหมือนกับพระองค์ ชายและหญิง และในการสร้างพวกเขาพระองค์ทรงออกแบบให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันในพันธะอันศักดิ์สิทธิ์ของการแต่งงาน และฝ่ายหนึ่งดีพร้อมไม่ได้หากปราศจากอีกฝ่ายหนึ่ง’ (ใน Conference Report, 9 April 1913, p. 118)
“โดยแท้แล้วคนที่อ่านพระคัมภีร์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่มีสักคนสงสัยแนวคิดอันสูงส่งเรื่องการแต่งงาน ความรู้สึกหวานชื่นที่สุดของชีวิต แรงผลักดันอันน่าพึงใจและเหลือเฟือมากที่สุดของใจมนุษย์ ล้วนแสดงออกอย่างเต็มที่ในชีวิตแต่งงานที่บริสุทธิ์ไร้มลทินเหนือความชั่วร้ายของโลก
“ข้าพเจ้าเชื่อว่าการแต่งงานเช่นนั้นเป็นความปรารถนา—ความปรารถนาที่ชายหญิงทุกแห่งหนวาดหวัง ใฝ่ฝัน และสวดอ้อนวอนขอ” (“What God Hath Joined Together,” Ensign, May 1991, 71)
ตามที่กล่าวไว้ในข้อความต่อไปนี้ ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายไม่ยอมรับการแต่งงานกับเพศเดียวกัน
“ศาสนจักรมีมาตรฐานเดียวไม่เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับศีลธรรมทางเพศ นั่นคือ ความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางเพศเป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสมระหว่างสามีภรรยาที่เป็นหนึ่งเดียวกันในพันธะของการสมรสเท่านั้น
“การที่ศาสนจักรคัดค้านการแต่งงานกับเพศเดียวกันไม่ได้หมายความว่าสนับสนุนหรือยอมรับต่อการมุ่งร้ายทุกรูปแบบที่มีต่อชายหญิงรักร่วมเพศ การปกป้องการแต่งงานระหว่างชายหญิงไม่มีผลต่อข้อผูกมัดการเป็นชาวคริสต์ของสมาชิกศาสนจักรในการแสดงความรัก ความเมตตา และความกรุณาต่อคนทั้งปวง … เราสามารถแสดงรักแท้และมิตรภาพที่จริงใจต่อสมาชิกครอบครัวหรือเพื่อนที่เป็นรักร่วมเพศโดยไม่ยอมรับการปฏิบัติรักร่วมเพศหรือนิยามใหม่ของการแต่งงาน” (“The Divine Institution of Marriage,” mormonnewsroom.org)
ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ สอนว่า
ภาพประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์“ผู้คนสอบถามเรื่องจุดยืนของเราเกี่ยวกับคนที่ยอมว่าตนเป็นเกย์และเลสเบียน คำตอบของข้าพเจ้าคือเรารักพวกเขาในฐานะบุตรและธิดาของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาอาจมีความโน้มเอียงบางอย่างที่รุนแรงและอาจจะควบคุมได้ยาก คนส่วนใหญ่มีความโน้มเอียงอย่างใดอย่างหนึ่งในเวลาต่างกัน หากพวกเขาไม่กระทำตามความโน้มเอียงเหล่านี้ พวกเขาย่อมสามารถก้าวหน้าได้เช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆ ทั้งหมดของศาสนจักร หากพวกเขาฝ่าฝืนกฎแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศและมาตรฐานทางศีลธรรมของศาสนจักร พวกเขาต้องได้รับโทษทางวินัยของศาสนจักรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ” (“ผู้คนทั่วไปถามอะไรเกี่ยวกับพวกเราบ้าง” เลียโฮนา, ม.ค. 1999, 83)
หลักคำสอนและพันธสัญญา 49:18–21 สัตว์มีไว้ “เพื่อประโยชน์ของมนุษย์”
ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนดังนี้
ภาพประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์“เยาวชนทั้งหลาย จงเรียนรู้ที่จะใช้ความพอดีและสามัญสำนึกในเรื่องสุขภาพและโภชนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องยารักษาโรค จงหลีกเลี่ยงการเป็นพวกหัวรุนแรงหรือคลั่งไคล้หรือบ้าตามสมัยนิยม
“ตัวอย่างเช่น พระคำแห่งปัญญาแนะนำให้เรากินเนื้ออย่างมัธยัสถ์ (ดู คพ. 89:12) ด้วยเกรงว่าจะมีบางคนเป็นพวกหัวรุนแรง ในการเปิดเผยอีกครั้งหนึ่งจึงบอกเราว่า ‘ผู้ใดที่ห้าม [กินเนื้อ] มิได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า’ (คพ. 49:18)” (“The Word of Wisdom: The Principle and the Promises,” Ensign, May 1996, 18)