เตือนความจำนักเรียนว่าวิสุทธิชนถูกขับไล่จากมิสซูรีในช่วงฤดูหนาว ปี 1838–1839 ขณะโจเซฟ สมิธถูกจองจำในคุกลิเบอร์ตี้
อธิบายว่าหลังจากวิสุทธิชนถูกขับไล่ออกจากมิสซูรี พวกเขาพบที่ลี้ภัยในเมืองควินซี รัฐอิลลินอยส์ และชุมชนเล็กๆ อีกหลายแห่ง เชื้อเชิญให้นักเรียนหาเมืองควินซีในแผนที่ 6 (“การเคลื่อนย้ายไปตะวันตกของศาสนจักร”) ในหมวดแผนที่ประวัติศาสนจักรจากพระคัมภีร์ของพวกเขา วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1839 โจเซฟ สมิธกับเพื่อนนักโทษของท่านทราบว่าพวกท่านจะถูกย้ายไปอีกที่หนึ่ง ระหว่างทางไปที่ใหม่ ผู้คุมอนุญาตให้พวกท่านหนี โดยยอมรับว่าไม่ยุติธรรมที่จะจับพวกท่านไว้อีก ราวหนึ่งสัปดาห์ต่อมา โจเซฟ สมิธกลับมาหาครอบครัวของท่านในควินซี ภายใต้การกำกับดูแลของโจเซฟ สมิธ ศาสนจักรซื้อที่ดินทั้งสองฝั่งของแม่น้ำมิสซิสซิปปีทางภาคเหนือของควินซี ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตไอโอวาและฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเป็นส่วนหนึ่งของรัฐอิลลินอยส์ วิสุทธิชนตั้งสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของศาสนจักรบนฝั่งอิลลินอยส์ตรงที่แห่งหนึ่งเรียกว่าคอมเมิร์ซ ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อใหม่ว่านอวู
เชิญนักเรียนที่เป็นครูคนแรกออกมาสอนชั้นเรียนพอสังเขปเกี่ยวกับการสถาปนานอวู
งานเผยแผ่ศาสนาแผ่ขยายไปทั่วโลก
ขอบคุณนักเรียนที่สอน เพื่อเตรียมชั้นเรียนให้พร้อมเรียนรู้เกี่ยวกับการเติบโตของศาสนจักรในช่วงนอวู ให้ถามคำถามต่อไปนี้
-
มีสิ่งใดบ้างที่สามารถดับไฟ
-
มีสิ่งใดบ้างที่สามารถทำให้ไฟลุกโชน
-
โจเซฟ สมิธเปรียบเทียบงานของพระผู้เป็นเจ้ากับไฟ ท่านคิดว่าการข่มเหงที่วิสุทธิชนประสบในมิสซูรีเหมือนน้ำที่เริ่มดับงานของพระผู้เป็นเจ้าหรือเหมือนเชื้อเพลิงที่ทำให้ไฟลุกโชน เพราะเหตุใด
ขอให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงข้อความต่อไปนี้ที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเขียนในจดหมายถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อจอห์น เวนท์เวิร์ธเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1842
“การข่มเหงมิได้หยุดยั้งความจริงให้ก้าวหน้า แต่กลับเพิ่มเชื้อไฟให้เปลวเพลิง …
“… มาตรฐานแห่งความจริงได้รับการสถาปนา มือที่ไม่สะอาดไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานนี้ได้ การข่มเหงอาจทวีความรุนแรง ฝูงชนอาจชุมนุมกันต่อต้าน กองทัพอาจรวมตัวกันเพื่อคุกคาม การสบประมาทอาจทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ความจริงของพระผู้เป็นเจ้าจะออกไปอย่างองอาจ มีเกียรติ และเป็นอิสระ จนกว่าจะเข้าไปสู่ทุกทวีป ไปเยือนทุกถิ่น ไปยังทั่วทุกประเทศ และก้องอยู่ในทุกหู จนกว่าจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าจะสำเร็จ และพระเยโฮวาห์ผู้ทรงฤทธานุภาพจะตรัสว่างานสำเร็จแล้ว” (ใน History of the Church, 4:540)
อธิบายว่าเมื่อโจเซฟ สมิธบันทึกคำพยากรณ์นี้ พระเจ้าทรงเริ่มเรียกผู้สอนศาสนาไปสั่งสอนพระกิตติคุณในประเทศต่างๆ ด้วยเหตุนี้ คนหลายพันคน—ส่วนมากจากเกรตบริเตน—จึงรับบัพติศมา สมาชิกใหม่เป็นกำลังสำคัญยิ่งของศาสนจักร และหลายคนเดินทางไปสมทบกับวิสุทธิชนในนอวู
เพื่ออธิบายความจริงบนกระดาน ขอให้อาสาสมัครสี่คนร่วมแสดงบทบาทสมมติเกี่ยวกับประสบการณ์ของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์ขณะสั่งสอนพระกิตติคุณในเมืองเฮริฟอร์ดไชร์ อังกฤษในปี 1840 มอบหมายบทบาทต่อไปนี้ให้อาสาสมัคร: วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์ นักบวช ตำรวจ ผู้บรรยาย แจกสำเนา บทละครต่อไปนี้ ให้อาสาสมัครแต่ละคนใช้ในบทบาทสมมติ
หลังจากอาสาสมัครแสดงจบแล้ว ให้ถามชั้นเรียนดังนี้
-
ประสบการณ์ของเอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ์แสดงให้เห็นหลักธรรมว่าไม่มีสิ่งใดจะหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร
-
คำพยากรณ์ของโจเซฟ สมิธเกี่ยวกับความก้าวหน้าของงานพระผู้เป็นเจ้ากำลังเกิดสัมฤทธิผลในปัจจุบันอย่างไร ท่านรู้สึกอย่างไรกับการมีส่วนร่วมในงานนี้
-
ท่านจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยให้งานของพระผู้เป็นเจ้าแผ่ขยายในหมู่คน (ท่านอาจต้องการเชื้อเชิญให้นักเรียนตอบคำถามข้อนี้ลงในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ของพวกเขา)
อธิบายว่าในบทต่อๆ ไป นักเรียนจะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นและหลักธรรมที่สอนขณะศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมีสำนักงานใหญ่อยู่ในนอวูตั้งแต่ ค.ศ. 1839 ถึง ค.ศ. 1846 เป็นพยานยืนยันหลักธรรมที่สนทนาในชั้นเรียนวันนี้ และเชื้อเชิญให้นักเรียนปฏิบัติตามสิ่งที่เรียนรู้