บทที่ 151
สงครามยูทาห์และการสังหารหมู่ที่เมาน์เทนเมโดวส์
คำนำ
ในช่วงทศวรรษ 1850 ความตึงเครียดและการสื่อสารผิดระหว่างวิสุทธิชนยุคสุดท้ายกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐชักนำให้เกิดสงครามยูทาห์ใน ค.ศ. 1857–1858 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1857 เกิดความขัดแย้งระหว่างวิสุทธิชนยุคสุดท้ายบางคนกับสมาชิกในขบวนเกวียนผู้ย้ายถิ่นที่กำลังผ่านยูทาห์เช่นกัน ความโกรธและความกลัวผลักดันให้วิสุทธิชนยุคสุดท้ายบางคนทางภาคใต้ของยูทาห์วางแผนดำเนินการสังหารผู้ย้ายถิ่นราว 120 คนที่กำลังเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย การกระทำอันโหดร้ายครั้งนี้รู้กันในปัจจุบันว่าการสังหารหมู่ที่เมาน์เทนเมโดวส์
ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน
เกิดความตึงเครียดระหว่างวิสุทธิชนยุคสุดท้ายกับรัฐบาลสหรัฐ
อธิบายว่าวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1857 ประธานบริคัม ยังก์อยู่กับวิสุทธิชนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังฉลองการมาถึงหุบเขาซอลท์เลคครบ 10 ปีเมื่อท่านได้รับการยืนยันข่าวก่อนหน้านี้ว่ากองทัพกำลังเดินทางมาที่ซอลท์เลคซิตี้ ในปีก่อนๆ ความไม่ลงรอยกันและการสื่อสารผิดส่งผลให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นระหว่างวิสุทธิชนยุคสุดท้ายกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐ วิสุทธิชนต้องการเลือกผู้นำมาปกครองพวกตน และไม่ยอมรับคนที่รัฐบาลกลางแต่งตั้งซึ่งมีค่านิยมต่างจากพวกเขา จึงทำให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางบางคนคิดว่าพวกเขากบฏต่อรัฐบาลสหรัฐ ประธานาธิบดีเจมส์ บูคานันส่งทหารประมาณ 1,500 นายมาซอลท์เลคซิตี้โดยไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภาเพื่อบีบบังคับชาวยูทาห์ให้ยอมรับเจ้าหน้าที่ชุดใหม่
-
ถ้าท่านเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายในปี ค.ศ. 1857 และได้ยินว่ากองทัพใหญ่กำลังประชิดเมือง ท่านอาจจะมีความกังวลเรื่องใด (นักเรียนอาจกล่าวว่าวิสุทธิชนถูกไล่ออกจากโอไฮโอ มิสซูรี และอิลลินอยส์อย่างเหี้ยมโหด หลายคนสูญเสียทรัพย์สินมีค่าและที่ดิน บางคนถูกฆ่าหรือไม่ก็เสียชีวิตระหว่างการข่มเหงเหล่านี้ ข่าวแจ้งว่ากองทัพกำลังประชิดทำให้เกิดความกังวลว่าเหตุการณ์เช่นนั้นอาจจะเกิดในยูทาห์เช่นกัน)
เชื้อเชิญให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงย่อหน้าต่อไปนี้
ในโอวาทถึงวิสุทธิชน ประธานยังก์และผู้นำศาสนจักรท่านอื่นเรียกกองทหารที่กำลังมาว่าเป็นศัตรู ประธานยังก์ผู้ขอให้วิสุทธิชนสะสมธัญพืชมาหลายปีได้แนะนำเรื่องนี้อีกครั้งเพื่อพวกเขาจะมีอาหารยังชีพหากต้องหลบหนีกองทหาร ในฐานะผู้ว่าการเขตยูทาห์ ท่านจึงสั่งการให้ทหารบ้านของเขตนั้นเตรียมป้องกัน
ความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างวิสุทธิชนยุคสุดท้ายบางคนกับสมาชิกในขบวนเกวียนผู้ย้ายถิ่น
ให้ดูแผนที่ คล้ายกับแผนที่ด้านล่าง หรือวาดแผนที่บนกระดาน เชื้อเชิญให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงสองย่อหน้าต่อไปนี้
ขบวนเกวียนผู้ย้ายถิ่นที่เดินทางจากอาร์คันซอไปแคลิฟอร์เนียเข้ามายูทาห์ขณะวิสุทธิชนยุคสุดท้ายกำลังเตรียมป้องกันอาณาเขตให้พ้นจากกองทหารสหรัฐที่กำลังมา สมาชิกบางคนในขบวนเกวียนเกิดความคับข้องใจเพราะพวกเขาไม่สามารถซื้อธัญพืชที่ต้องการอย่างมากจากวิสุทธิชนผู้ได้รับคำแนะนำให้เก็บธัญพืชไว้ ผู้ย้ายถิ่นเกิดความขัดแย้งกับวิสุทธิชนผู้ไม่ต้องการให้ม้าและปศุสัตว์จำนวนมากของขบวนเกวียนใช้แหล่งอาหารและน้ำที่วิสุทธิชนต้องใช้สำหรับสัตว์ของตน
ความตึงเครียดปะทุในซีดาร์ซิตี้ ถิ่นฐานสุดท้ายในยูทาห์ระหว่างเส้นทางไปแคลิฟอร์เนีย การปะทะกันเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกบางคนของขบวนเกวียนกับวิสุทธิชนยุคสุดท้ายบางคน สมาชิกบางคนของขบวนเกวียนขู่จะสมทบกับกองทหารสหรัฐที่กำลังมาจัดการกับวิสุทธิชน ถึงแม้หัวหน้าขบวนเกวียนจะตำหนิคนของตนที่ทำการข่มขู่เช่นนั้น แต่ผู้นำและผู้ตั้งถิ่นฐานบางคนของซีดาร์ซิตี้กลับมองผู้ย้ายถิ่นเป็นศัตรู ขบวนเกวียนออกนอกเมืองหลังจากมาถึงเพียงหนึ่งชั่วโมง แต่ผู้ตั้งถิ่นฐานบางคนและผู้นำในซีดาร์ซิตี้ต้องการตามไปลงโทษคนที่ยั่วโทสะพวกเขา
เชื้อเชิญให้นักเรียนนึกถึงเวลาที่พวกเขาประสบความขัดแย้งกับอีกคนหนึ่งหรือคนกลุ่มหนึ่ง เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง 3 นีไฟ 12:25 ขอให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาหลักธรรมที่พระเยซูคริสต์ทรงสอนซึ่งสามารถนำทางเราได้เมื่อเราประสบความตึงเครียดกับผู้อื่น
-
ท่านคิดว่าการ “ปรองดองกับปฏิปักษ์ของเจ้าโดยเร็ว” หมายความว่าอย่างไร
เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจวลีนี้ ท่านอาจต้องการขอให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงข้อความต่อไปนี้
เอ็ลเดอร์เดวิด อี. โซเรนเซ็นแห่งสาวกเจ็ดสิบสอนว่าวลี “จงปรองดองกับปฏิปักษ์ของเจ้าโดยเร็ว” หมายถึง “ให้เราแก้ไขปัญหาแต่เนิ่นๆ เกลือกอารมณ์ชั่ววูบจะทวีขึ้นจนกลายเป็นความโหดร้ายทางร่างกายหรือทางอารมณ์ และเราจะตกเป็นทาสความโกรธ” (“การให้อภัยจะเปลี่ยนความขมขื่นเป็นความรัก,” เลียโฮนา, พ.ค. 2003, 13)
-
ท่านจะสรุปคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดใน 3 นีไฟ 12:25 ด้วยคำพูดของท่านเองว่าอย่างไร (ขณะที่นักเรียนตอบ ให้เขียนหลักธรรมคล้ายกันนี้บนกระดาน ถ้าเราแก้ไขความขัดแย้งกับผู้อื่นในวิธีของพระเจ้า เราสามารถหลีกเลี่ยงผลเสียของความขัดแย้งได้)
-
การเชื่อฟังหลักธรรมใน 3 นีไฟ 12:25 ได้ช่วยวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้ไม่พอใจสมาชิกของขบวนเกวียนอย่างไร
อธิบายว่าเพราะวิสุทธิชนเหล่านี้ไม่แก้ไขความขัดแย้งกับผู้ย้ายถิ่นในวิธีของพระเจ้า สถานการณ์จึงร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม ไอแซค เฮจท์ผู้เป็นทั้งนายกเทศมนตรีซีดาร์ซิตี้ หัวหน้าทหารบ้าน และประธานสเตคขออนุญาตจากผู้บัญชาการทหารบ้านซึ่งอยู่ในปาโรวันถิ่นฐานใกล้เคียง เรียกทหารบ้านออกมาเผชิญหน้ากับผู้รุกรานจากขบวนเกวียน วิลเลียม เดมผู้บัญชาการทหารบ้านซึ่งเป็นสมาชิกศาสนจักรแนะนำไอแซค เฮจท์ว่าอย่าสนใจคำขู่ของผู้ย้ายถิ่น แทนที่จะทำตามคำแนะนำ ไอแซค เฮจท์และผู้นำคนอื่นๆ ของซีดาร์ซิตี้กลับตัดสินใจชักชวนชาวอินเดียนแดงในท้องที่ให้โจมตีขบวนเกวียนและขโมยปศุสัตว์ของพวกเขาเพื่อเป็นการลงโทษผู้ย้ายถิ่น ไอแซค เฮจท์ขอให้จอห์น ดี. ลีสมาชิกศาสนจักรและหัวหน้าทหารบ้านนำการโจมตีครั้งนี้ และทั้งสองวางแผนจะโยนความผิดให้ชาวอินเดียนแดง
-
ผู้นำซีดาร์ซิตี้ควรทำอะไรเมื่อวิลเลียม เดมแนะนำไม่ให้พวกเขาใช้ทหารบ้าน การไม่ยอมรับคำแนะนำครั้งนั้นชักนำพวกเขาให้ทำอะไร (หลังจากนักเรียนตอบแล้ว ให้เขียนหลักธรรมต่อไปนี้บนกระดาน ถ้าเราไม่สนใจคำแนะนำให้ทำสิ่งถูกต้อง เราจะเลือกทำไม่ดีได้ง่ายขึ้น)
ชี้ให้เห็นว่าชายเหล่านี้ทำตรงข้ามกับความรับผิดชอบฐานะปุโรหิตของพวกเขา เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 121:36–37 ขอให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาคำเตือนของพระเจ้าถึงผู้ดำรงฐานะปุโรหิตที่ปฏิบัติอย่างไม่ชอบธรรม
-
พระเจ้าประทานคำเตือนอะไรแก่ผู้ดำรงฐานะปุโรหิตที่พยายามปกปิดบาปของตนหรือปฏิบัติอย่างไม่ชอบธรรม
อ่านหรือสรุปย่อหน้าต่อไปนี้ และเชื้อเชิญให้นักเรียนฟังว่าผู้นำซีดาร์ซิตี้ยังขืนเลือกทำไม่ดีอะไรหลังจากไม่ใส่ใจคำแนะนำที่พวกเขาได้รับ
ไอแซค เฮจท์เสนอแผนโจมตีขบวนเกวียนต่อสภาผู้นำท้องที่ในศาสนจักร ชุมชน และทหารบ้าน สมาชิกสภาบางคนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแผนนั้นและถามเฮจท์ว่าเขาหารือกับประธานบริคัม ยังก์เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือยัง เฮจท์บอกว่ายัง และตกลงจะส่งเจมส์ แฮสแลมนำจดหมายอธิบายสถานการณ์ไปซอลท์เลคซิตี้และถามว่าควรทำอย่างไร อย่างไรก็ตาม เพราะซอลท์เลคซิตี้ห่างจากซีดาร์ซิตี้ประมาณ 250 ไมล์ จึงต้องใช้เวลาขี่ม้าราวหนึ่งสัปดาห์กว่าจะถึงซอลท์เลคซิตี้และกลับมาซีดาร์ซิตี้พร้อมคำแนะนำของประธานยังก์
ไม่นานก่อนไอแซค เฮจท์จะส่งจดหมายของตนไปกับผู้ส่งสาร จอห์น ดี. ลีและชาวอินเดียนแดงกลุ่มหนึ่งได้โจมตีค่ายผู้ย้ายถิ่นตรงที่เรียกว่าเมาน์เทนเมโดวส์ ลีนำการโจมตีและปกปิดตัวตนเพื่อให้ดูเหมือนว่าคนที่เกี่ยวข้องมีเพียงชาวอินเดียนแดงเท่านั้น ผู้ย้ายถิ่นบางคนเสียชีวิตหรือไม่ก็บาดเจ็บ และคนที่เหลือต่อสู้กับผู้โจมตีจนลีและชาวอินเดียนแดงต้องล่าถอย ผู้ย้ายถิ่นขับเกวียนมาล้อมเป็นวงอย่างรวดเร็วเพื่อทำเป็นแนวป้องกัน เกิดการโจมตีอีกสองครั้งในช่วงโอบล้อมขบวนเกวียนห้าวัน
ครั้งหนึ่ง ทหารบ้านของซีดาร์ซิตี้รู้ว่ามีผู้ย้ายถิ่นสองคนอยู่นอกวงล้อมของเกวียน พวกเขาจึงยิงสองคนนั้น และคนหนึ่งเสียชีวิต อีกคนหนีรอดและแจ้งข่าวกับค่ายขบวนเกวียนว่าคนผิวขาวเกี่ยวข้องกับการโจมตีพวกเขา คนที่วางแผนการโจมตีตอนนี้ถูกจับได้แล้วว่าหลอกลวง ถ้ายอมให้ผู้ย้ายถิ่นเดินทางต่อไปถึงแคลิฟอร์เนีย ข่าวจะแพร่สะพัดไปทั่วว่าวิสุทธิชนยุคสุดท้ายต้องรับผิดชอบเรื่องการโจมตีขบวนเกวียน ผู้สมคบคิดเกรงว่าข่าวนี้จะส่งผลเสียต่อตนเองและคนของตน
-
อะไรเป็นผลจากการตัดสินใจไม่เชื่อฟังคำแนะนำของผู้บัญชาการทหารบ้าน
-
ณ จุดนี้ คนที่รับผิดชอบการโจมตีเลือกทำอะไรได้บ้าง (พวกเขาอาจจะเลือกสารภาพว่าได้ทำอะไรลงไปและรับผลของการกระทำนั้น หรือพวกเขาอาจจะพยายามปกปิดความผิดและบาปของตน) ดู คพ. 121:37)
-
พวกเขาควรทำอะไร
เชื้อเชิญให้นักเรียนไตร่ตรองคำถามต่อไปนี้
-
ท่านทำอะไรเมื่อท่านทำผิดบางอย่าง ท่านสารภาพสิ่งที่ท่านทำและรับผลของการกระทำนั้น หรือท่านพยายามปกปิดบาปผ่านการหลอกลวง
วิสุทธิชนยุคสุดท้ายบางคนวางแผนดำเนินการสังหารหมู่ที่เมาน์เทนเมโดวส์
อธิบายว่าสมาชิกศาสนจักรที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีผู้ย้ายถิ่นได้เลือกปกปิดบาปของตน เชื้อเชิญให้ชั้นเรียนฟังสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากการตัดสินใจครั้งนี้ขณะที่ท่านอ่านหรือสรุปย่อหน้าต่อไปนี้
เพื่อพยายามป้องกันไม่ให้ข่าวรั่วไหลว่าวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเกี่ยวข้องกับการโจมตีขบวนเกวียน ไอแซค เฮจท์, จอห์น ดี. ลี และผู้นำในท้องที่ของศาสนจักรกับหัวหน้าทหารบ้านคนอื่นๆ จึงวางแผนฆ่าผู้ย้ายถิ่นที่เหลือทั้งหมดยกเว้นเด็กเล็ก เพื่อดำเนินการตามแผน จอห์น ดี. ลีเข้าไปหาผู้ย้ายถิ่นและบอกว่าทหารบ้านจะคุ้มครองไม่ให้พวกเขาถูกโจมตีอีกโดยจะนำพวกเขากลับไปซีดาร์ซิตี้อย่างปลอดภัย ขณะผู้ย้ายถิ่นกำลังเดินไปซีดาร์ซิตี้ ทหารบ้านก็หันมายิงคนเหล่านั้น ชาวอินเดียนแดงบางคนรีบออกจากที่ซ่อนมาร่วมโจมตี ในจำนวนผู้ย้ายถิ่นประมาณ 140 คนที่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนเกวียนมีเด็กเล็กเพียง 17 คนรอดชีวิต
สองวันหลังจากการสังหารหมู่ เจมส์ แฮสแลมมาถึงซีดาร์ซิตี้พร้อมสารตอบของประธานยังก์โดยสั่งผู้นำในท้องที่ให้ปล่อยขบวนเกวียนผ่านไปอย่างสงบ “เมื่อเฮจท์อ่านคำตอบของประธานยังก์ เขาสะอื้นไห้ราวกับเด็ก และพูดได้แต่เพียงว่า ‘สายเกินไปแล้ว สายเกินไปแล้ว’” (ริชาร์ด อี. เทอร์ลีย์ จูเนียร์, “The Mountain Meadows Massacre,” Ensign, Sept. 2007, 20)
อธิบายว่าการเลือกของผู้นำวิสุทธิชนยุคสุดท้ายบางคนและผู้ตั้งถิ่นฐานทางภาคใต้ของอาณาเขตยูทาห์ชักนำให้เกิดการสังหารหมู่อันน่าสลดใจที่เมาน์เทนเมโดวส์ ในทางตรงกันข้าม ผู้นำศาสนจักรและผู้นำเขตในซอลท์เลคซิตี้แก้ไขความขัดแย้งกับรัฐบาลสหรัฐผ่านการเจรจาสงบศึกในปี 1858 ระหว่างความขัดแย้งครั้งนี้—ต่อมาเรียกว่าสงครามยูทาห์—กองทัพสหรัฐกับทหารบ้านยูทาห์เกี่ยวข้องกับการรุกรานแต่ไม่เคยร่วมรบ
-
ท่านจะสรุปการเลือกที่ชักนำให้เกิดการสังหารหมู่ที่เมาน์เทนเมโดวส์ว่าอย่างไร
-
เราสามารถเรียนรู้หลักธรรมอะไรบ้างจากเรื่องสลดใจดังกล่าว (นักเรียนอาจระบุหลักธรรมหลากหลาย แต่คำตอบของพวกเขาอาจรวมถึง: การเลือกปกปิดบาปของเราจะชักนำให้เราทำบาปมากขึ้น การเลือกปกปิดบาปของเราจะทำให้เกิดความเสียใจและความทุกข์
อธิบายว่าการสังหารหมู่ที่เมาน์เทนเมโดวส์ไม่เพียงส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 120 คนเท่านั้น แต่ทำให้เด็กที่รอดชีวิตและญาติคนอื่นๆ ของผู้เสียชีวิตทนทุกข์แสนสาหัสเช่นกัน ชาวอินเดียนแดงเผ่ายุตทนทุกข์จากการถูกปรักปรำอย่างไร้ความยุติธรรมเช่นกัน นอกจากนี้ คน “ที่ดำเนินการสังหารหมู่ใช้ชีวิตที่เหลือภายใต้ความรู้สึกผิดที่ตามหลอกหลอนและฝันร้ายบ่อยๆ ถึงสิ่งที่พวกเขารู้เห็นและทำลงไป” (ริชาร์ด อี. เทอร์ลีย์ จูเนียร์, “The Mountain Meadows Massacre,” 20)
รับรองกับนักเรียนว่าถ้าพวกเขาเริ่มไปตามเส้นทางของความผิดและบาป พวกเขาสามารถป้องกันความปวดร้าวและความเสียใจในอนาคตได้โดยหันมาหาพระเจ้าและกลับใจจากบาปของพวกเขา
อธิบายว่าเพราะวิสุทธิชนยุคสุดท้ายจำนวนหนึ่งในท้องที่รับผิดชอบเรื่องวางแผนและดำเนินการสังหารหมู่ที่เมาน์เทนเมโดวส์ เหตุการณ์นี้จึงทำให้ประชาชนมีทัศนะลบๆ ต่อศาสนจักรโดยรวม
-
เหตุใดจึงสำคัญที่ต้องรู้ว่าการกระทำผิดของสมาชิกศาสนจักรบางคนไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความจริงของพระกิตติคุณ
เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านคำกล่าวต่อไปนี้ของประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์แห่งฝ่ายประธานสูงสุด
“พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่เรารับไว้ ชิงชังการเข่นฆ่าชายหญิงและเด็กอย่างเลือดเย็น โดยแท้แล้ว พระกิตติคุณสนับสนุนความสงบสุขและการให้อภัย สิ่งที่สมาชิกของศาสนจักรเราทำไว้นานแล้ว [ที่เมาน์เทนเมโดวส์] แสดงให้เห็นว่าพวกเขาละทิ้งคำสอนและความประพฤติแบบชาวคริสต์อย่างร้ายแรงจนไม่อาจยกโทษให้ได้” (“150th Anniversary of Mountain Meadows Massacre,” Sept. 11, 2007, mormonnewsroom.org/article/150th-anniversary-of-mountain-meadows-massacre)
เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง ฮีลามัน 5:12 ขอให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาสิ่งที่เราทำได้เพื่อพัฒนาและรักษาประจักษ์พยานของเราไว้เผื่อช่วงเวลายากๆ เช่นเมื่อเราเรียนรู้จากกรณีที่สมาชิกศาสนจักรไม่ดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ ศรัทธาของเราจะไม่สั่นคลอน
-
ตามที่กล่าวไว้ใน ฮีลามัน 5:12เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อพัฒนาและรักษาประจักษ์พยานของเราไว้ (หลังจากนักเรียนตอบแล้ว ท่านอาจต้องการเขียนหลักธรรมต่อไปนี้ไว้บนกระดาน: เราพัฒนาประจักษ์พยานให้เข้มแข็งได้โดยสร้างศรัทธาของเราบนรากฐานของพระเยซูคริสต์)
เพื่ออธิบายหลักธรรมนี้ ให้เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงย่อหน้าต่อไปนี้
“เจมส์ แซนเดอร์สเป็นเหลนชาย … ของเด็กคนหนึ่งที่รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ [และเป็นสมาชิกของศาสนจักรด้วย] … บราเดอร์แซนเดอร์ส … กล่าวว่าการทราบว่าบรรพชนของเขาเสียชีวิตในการสังหารหมู่ ‘ไม่ได้มีผลต่อศรัทธาของผมเพราะศรัทธาของผมมีรากฐานบนพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่บนคนใดในศาสนจักร’” (ริชาร์ด อี. เทอร์ลีย์ จูเนียร์, “The Mountain Meadows Massacre,” 21)
-
ศรัทธาของเราในพระเยซูคริสต์จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้นได้อย่างไรเมื่อเราเรียนรู้จากกรณีที่สมาชิกศาสนจักรไม่ดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอด
-
ท่านทำอะไรที่ช่วยให้ท่านสร้างศรัทธาบนรากฐานของพระเยซูคริสต์
เป็นพยานถึงความสำคัญของการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดและวางฐานศรัทธาของเราบนพระองค์และพระกิตติคุณของพระองค์ เชื้อเชิญให้นักเรียนไตร่ตรองว่าพวกเขาจะสร้างศรัทธาบนรากฐานของพระเยซูคริสต์ให้ดีขึ้นและตั้งเป้าหมายจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร