คลังค้นคว้า
บทที่ 25: มัทธิว 22:15–46


บทที่ 25

มัทธิว 22:15–46

คำนำ

ขณะที่พระเยซูทรงสอนที่พระวิหารต่อไป พวกฟาริสีและพวกสะดูสีพยายามทำให้พระองค์ติดกับดักโดยถามคำถามยากๆ กับพระองค์ พระองค์ทรงตอบคำถามของพวกเขาสำเร็จและสอนให้พวกเขาเชื่อฟังกฎของแผ่นดินและรักษาพระบัญญัติที่ยิ่งใหญ่สองข้อ

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

มัทธิว 22:15–22

พวกฟาริสีพยายามทำให้พระผู้ช่วยให้รอดติดกับดักโดยถามพระองค์ว่าการส่งส่วยนั้นถูกกฎหมายหรือไม่

  • มีกฎหมายสำคัญอะไรบ้างที่รัฐบาลกำหนดไว้ในสังคมเรา ท่านคิดว่าเหตุใดกฎหมายเหล่านี้จึงสำคัญ

ขอให้นักเรียนพิจารณาในใจว่ามีกฎหมายอื่นที่พวกเขาไม่ได้เชื่อฟังอย่างที่ควรจะเชื่อฟังหรือไม่ ขณะนักเรียนศึกษา มัทธิว 22:15–22 ให้พวกเขามองหาว่าพระเยซูคริสต์ทรงสอนอะไรเกี่ยวกับการเชื่อฟังกฎหมายบ้านเมือง

เตือนนักเรียนว่าระหว่างสัปดาห์สุดท้ายของพระชนม์ชีพของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงสอนที่พระวิหารในเยรูซาเล็มทุกวัน (ดู ลูกา 19:47; 22:53) เชื้อเชิญให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มัทธิว 22:15 ให้ชั้นเรียนดูตามและมองหาว่าพวกฟาริสีพยายามทำอะไรกับพระผู้ช่วยให้รอด

  • วลี “ติดกับดักด้วยคำพูด” หมายความว่าอย่างไร

ให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มัทธิว 22:16–17 และขอให้ชั้นเรียนมองหาว่าพวกฟาริสีพยายามหลอกล่อพระผู้ช่วยให้รอดอย่างไร อธิบายคำว่า ส่วย ใน ข้อ 17 หมายถึงภาษี และซีซาร์เป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันซึ่งปกครองอิสราเอลในสมัยนั้น

  • คำถามที่พวกเขาถามพระเยซูคริสต์เป็นกับดักอย่างไร (ถ้าพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะจ่ายภาษีให้จักรวรรดิโรมัน ชาวยิวจะคิดว่าพระองค์สนับสนุนชาวโรมันและไม่ภักดีต่อคนของพระองค์เอง ถ้าพระผู้ช่วยให้รอดตรัสบอกเขาว่าเป็นการผิดกฎที่จะจ่ายภาษี พวกฟาริสีจะกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นกบฏและแจ้งเจ้าหน้าที่ชาวโรมันให้จับพระองค์)

เชื้อเชิญให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มัทธิว 22:18–21 และขอให้ชั้นเรียนมองหาว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงตอบคำถามพวกฟาริสีว่าอย่างไร อธิบายว่าวลี “ของของซีซาร์จงถวายแด่ซีซาร์” ใน ข้อ 21 หมายถึงหน้าที่ของเราในการเชื่อฟังกฎหมายบ้านเมือง เช่นกฎหมายให้จ่ายภาษี ชูเหรียญขึ้นและถามว่า

  • เหตุใดคำตอบของพระผู้ช่วยให้รอดจึงเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับคำถามของพวกฟาริสี

  • เราเรียนรู้ความจริงอะไรจากคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดว่า “ของของซีซาร์จงถวายแด่ซีซาร์” (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกัน แต่ให้แน่ใจว่าพวกเขาระบุความจริงต่อไปนี้ พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราเป็นพลเมืองดีและเชื่อฟังกฎหมายบ้านเมือง [ดู หลักแห่งความเชื่อ 1:12])

  • ท่านคิดว่าเหตุใดจึงสำคัญสำหรับเราในฐานะสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ที่จะเป็นพลเมืองดีและเชื่อฟังกฎหมายบ้านเมือง (ดู ค.พ. 58:21)

ให้นักเรียนอ่าน มัทธิว 22:22 ในใจ โดยมองหาว่าพวกฟาริสีมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อคำตอบของพระผู้ช่วยให้รอด ขอให้นักเรียนรายงานสิ่งที่พบ

มัทธิว 22:23–34

พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนพวกสะดูสีเกี่ยวกับการแต่งงานและการฟื้นคืนชีวิต

อธิบายว่านอกจากพวกฟาริสี พวกสะดูสีก็พยายามทำให้พระผู้ช่วยให้รอดติดกับดักในพระคำของพระองค์เมื่อพระองค์ทรงสอนในพระวิหารด้วย เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจความเชื่อของพวกสะดูสี ให้นักเรียนอ่านหัวข้อ “สะดูสี” ในคู่มือพระคัมภีร์ในใจ ขอให้นักเรียนหาดูว่าพวกสะดูสีเชื่อและไม่เชื่อเรื่องอะไร

  • ความเชื่อเรื่องอะไรที่พวกสะดูสีปฏิเสธ

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มัทธิว 22:23–28 และขอให้ชั้นเรียนมองหาว่าพวกสะดูสีพยายามทำให้พระผู้ช่วยให้รอดติดกับดักอย่างไร

  • ท่านจะสรุปคำถามที่พวกสะดูสีถามพระผู้ช่วยให้รอดอย่างไร

อธิบายว่าพวกสะดูสีนำขนมธรรมเนียมของพันธสัญญาเดิมที่ออกแบบมาให้เลี้ยงดูหญิงม่ายมาใช้อย่างไม่ถูกต้อง (ดู เฉลยธรรมบัญญัติ 25:5–6; Bible Dictionary, Levirate marriage) พวกเขาพยายามพูดเกินจริงเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมเพื่อจะทำให้หลักคำสอนเรื่องการฟื้นคืนชีวิตเสื่อมเสีย

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มัทธิว 22:29–30 และขอให้ชั้นเรียนมองหาคำตอบของพระผู้ช่วยให้รอดต่อคำถามของพวกสะดูสี

  • พระเยซูทรงตอบคำถามนั้นอย่างไร

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจคำตอบของพระผู้ช่วยให้รอด เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงคำกล่าวต่อไปนี้โดยเอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกี แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง

เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกี

“[พระเยซูคริสต์] ไม่ได้ทรงปฏิเสธ แต่ทรง จำกัด แนวความคิดทั่วไปที่ว่าจะมีการแต่งงานและการยกให้แต่งงานในสวรรค์ พระองค์ตรัสว่าตราบที่เกี่ยวข้องกับ ‘พวกเขา’ (พวกสะดูสี) กังวล ตราบเท่าที่เกี่ยวข้อง ‘พวกเขา’ (‘คนยุคนี้’) หน่วยครอบครัวไม่และจะไม่ดำเนินต่อไปในการฟื้นคืนชีวิต …

“‘ฉะนั้น เมื่อพวกเขา [คนที่จะไม่ ไม่ยอม และไม่สามารถดำเนินชีวิตตามกฎการแต่งงานนิรันดร์] ไปจากโลกพวกเขาจึงไม่แต่งงานทั้งไม่มีใครยกให้แต่งงาน’ [คพ. 132:16]

“ซึ่งคือ จะไม่มีการแต่งงานหรือการยกให้แต่งงานสำหรับคนที่พระเยซูตรัสถึง สำหรับคนที่ไม่แม้แต่จะเชื่อในการฟื้นคืนชีวิต และแน่นอนไม่เชื่อในความจริงเรื่องความรอดอื่นๆ ” (Doctrinal New Testament Commentary, 3 vols. [1965–73], 1:606)

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจสารของพระผู้ช่วยให้รอดใน มัทธิว 22:29–30 อธิบายว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงที่สำคัญหลายประการเกี่ยวกับการแต่งงานนิรันดร์แก่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ เชื้อเชิญให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 132:15–17 ขอให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยอะไรต่อโจเซฟ สมิธเกี่ยวกับการแต่งงาน

  • พระเจ้าตรัสว่าใครจะไม่ “แต่งงานทั้งไม่มี [ใคร] ยกให้แต่งงาน” (ข้อ 16) ในการฟื้นคืนชีวิต

  • ความจริงใดที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนใน มัทธิว 22:30 และ หลักคำสอนและพันธสัญญา 132:15–17 เกี่ยวกับการแต่งงานและชีวิตหลังความตาย (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกัน แต่ให้แน่ใจว่าพวกเขาระบุความจริงต่อไปนี้ คนที่ไม่ได้รับการผนึกกับคู่ของเขาโดยสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตในชีวิตมรรตัยหรือผ่านศาสนพิธีแทนคนตายในพระวิหารจะไม่แต่งงานในโลกที่จะมาถึง)

ให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มัทธิว 22:31–33 และขอให้ชั้นเรียนมองหาว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนความจริงอะไรอีกแก่พวกสะดูสีเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีวิต

  • พระผู้ช่วยให้รอดตรัสอะไร ข้อ 32 ที่บอกว่าการฟื้นคืนชีวิตมีจริง

  • ผู้คนตอบสนองอย่างไรเมื่อพวกเขาได้ยินพระผู้ช่วยให้รอดสอนหลักคำสอนเหล่านี้

มัทธิว 22:34–40

พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนเกี่ยวกับพระบัญญัติที่สำคัญยิ่งสองข้อ

เชื้อเชิญให้นักเรียนเขียนพระบัญญัติที่เขานึกออกลงในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ของพวกเขาให้มากที่สุดในหนึ่งนาที ขอให้นักเรียนรายงานว่าพวกเขาเขียนพระบัญญัติได้กี่ข้อ

อธิบายว่าศาสนายิวสอนว่ากฎของโมเสสมีพระบัญญัติ 613 ข้อ เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มัทธิว 22:35–36 ขอให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาคำถามที่หนึ่งในพวกฟาริสีถามพระผู้ช่วยให้รอดเกี่ยวกับพระบัญญัติเหล่านี้

  • ชาวฟาริสีคนนั้นถามอะไรพระผู้ช่วยให้รอด

ก่อนที่นักเรียนจะดูคำตอบของพระผู้ช่วยให้รอด ให้พวกเขาวงกลมพระบัญญัติในรายการของพวกเขาที่พวกเขาคิดว่าเป็นพระบัญญัติที่ “ยิ่งใหญ่” หรือสำคัญที่สุด ขอให้นักเรียนสองสามคนรายงานว่าพวกเขาเลือกวงกลมพระบัญญัติข้อไหนและอธิบายเหตุผลที่วงกลมข้อนั้น

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มัทธิว 22:37–40 ขอให้นักเรียนที่เหลือดูตามโดยดูว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงตอบคำถามของชาวฟาริสีอย่างไร

  • พระบัญญัติที่สำคัญที่สุดคือข้อใด พระบัญญัติที่สำคัญที่สุดอันดับสองคือข้อใด (อธิบายว่าพระบัญญัติสองข้อนี้พบในกฎของโมเสส [ดู เฉลยธรรมบัญญัติ 6:5; เลวีนิติ 19:18] อธิบายด้วยว่าพระบัญชาของพระเจ้าให้ “รักเพื่อนบ้าน” หมายถึงวิธีที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่น)

  • ท่านคิดว่าเหตุใดพระบัญญัติสองข้อนี้จึงถือเป็นพระบัญญัติสองข้อที่ยิ่งใหญ่

  • “ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้” ใน ข้อ 40 หมายความว่าอย่างไร (ช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่าพระบัญญัติทุกข้อที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยในกฎของโมเสสและที่ทรงเปิดเผยผ่านศาสดาพยากรณ์พันธสัญญาเดิมได้รับการกำหนดมาเพื่อช่วยให้คนแสดงความรักของพวกเขาต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อเพื่อนบ้านของพวกเขา)

  • ถ้าพระบัญญัติทุกข้อได้รับการกำหนดมาเพื่อช่วยให้เรารักษาพระบัญญัติที่สำคัญยิ่งสองข้อนี้ เราเรียนรู้หลักธรรมอะไรจาก ข้อ 40 เกี่ยวกับความสำคัญของการรักษาพระบัญญัติทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า (หลังจากนักเรียนตอบแล้ว ให้เขียนหลักธรรมต่อไปนี้บนกระดาน ถ้าเรารักพระผู้เป็นเจ้าและรักเพื่อนบ้านของเราเหมือนรักตัวเราเองจริงๆ เราจะพยายามรักษาพระบัญญัติทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า)

เพื่อแสดงตัวอย่างของหลักธรรมข้อนี้ เชื้อเชิญให้นักเรียนดูพระบัญญัติที่พวกเขาเขียนในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ ขอให้พวกเขาใส่เครื่องหมายดาวข้างพระบัญญัติที่แสดงความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าและเครื่องหมายสี่เหลี่ยมข้างพระบัญญัติที่แสดงความรักต่อเพื่อนบ้านของเรา (พระบัญญัติบางข้ออาจใส่เครื่องหมายได้ทั้งดาวและสี่เหลี่ยม) ขอให้นักเรียนเลือกพระบัญญัติหนึ่งข้อในรายการของพวกเขาและอธิบายว่าการเชื่อฟังพระบัญญัติข้อนั้นจะทำให้เราแสดงความรักต่อพระผู้เป็นเจ้า ความรักต่อเพื่อนบ้านของเรา หรือทั้งสอง

  • ท่านมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อท่านเลือกเชื่อฟังพระบัญญัติข้อใดข้อหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อแสดงความรักที่ท่านมีต่อพระผู้เป็นเจ้าหรือผู้อื่น

แสดงประจักษ์พยานของท่านถึงหลักธรรมนี้ว่าหากเรารักพระผู้เป็นเจ้าและรักเพื่อนบ้านของเราเหมือนรักตนเองจริงๆ เราจะรักษาพระบัญญัติทุกข้อของพระผู้เป็นเจ้า เชื้อเชิญให้นักเรียนนึกถึงพระบัญญัติที่พวกเขาจะเชื่อฟังอย่างชื่อสัตย์มากขึ้นเพื่อแสดงความรักต่อพระบิดาบนสวรรค์และต่อคนอื่น กระตุ้นให้พวกเขาตั้งเป้าหมายที่จะทำเช่นนั้น เชื้อเชิญให้นักเรียนเขียนเป้าหมายนี้ในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ของพวกเขา

มัทธิว 22:41–46

พระผู้ช่วยให้รอดทรงถามพวกฟาริสีว่าพวกเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับพระคริสต์

อธิบายว่าหลังจากที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงตอบคำถามของพวกฟาริสีและสะดูสีสำเร็จ พระองค์ทรงถามคำถามบางข้อกับพวกเขา

ให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มัทธิว 22:41–42 และขอให้ชั้นเรียนมองหาว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงถามพวกฟาริสีว่าอะไร

  • พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถามอะไรพวกฟาริสี

  • พวกฟาริสีตอบว่าอย่างไร

อธิบายว่าชาวยิวส่วนใหญ่รู้ว่าพระคริสต์ หรือพระเมสสิยาห์จะเป็นผู้สืบสกุลของกษัตริย์ของดาวิด พวกฟาริสีเชื่อว่าพระเมสสิยาห์จะได้รับราชาภิเษกเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลและช่วยพวกเขาเอาชนะศัตรูต่างชาติ (เช่นโรม) และได้รับอิสระภาพ เช่นกษัตริย์เดวิดทรงทำก่อนหน้านี้ สรุป มัทธิว 22:43–46 โดยอธิบายว่าพระเยซูทรงสอนพวกฟาริสีว่าตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ของพวกเขาเอง พระคริสต์ทรงเป็น มากกว่าแค่ บุตรของดาวิด—พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าด้วย หรือดังที่ได้เปิดเผยแก่ยอห์นผู้ถวายบัพติศมาทีหลังว่าพระคริสต์ทรงเป็น “รากเหง้าและเชื้อสายของดาวิด” (วิวรณ์ 22:16); พระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้าของดาวิดและผู้สืบสกุลด้วย

ให้นักเรียนไตร่ตรองว่าพวกเขาจะตอบคำถาม “ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องพระคริสต์” อย่างไร สรุปโดยแบ่งปันประจักษ์พยานของท่านเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอด

ไอคอนผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์
ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์—มัทธิว 22:36–39

ให้เวลานักเรียนเขียนคำจาก มัทธิว 22:36–39 ในการ์ดจดบันทึกหรือในแผ่นกระดาษเล็กๆ เชื้อเชิญให้นักเรียนถือแผ่นกระดาษไปกับเขาและดูเป็นครั้งคราวตลอดทั้งวันเพื่อช่วยให้จำได้ว่าต้องรักษาพระบัญญัติข้อแรกและข้อสอง

บทวิจารณ์และข้อมูลภูมิหลัง

มัทธิว 22:21 “ของของซีซาร์จงถวายแด่ซีซาร์”

ประโยคที่ว่า “ของของซีซาร์จงถวายแด่ซีซาร์” ใน มัทธิว 22:21 หมายถึงหน้าที่ของเราในการเชื่อฟังกฎหมายบ้านเมือง เช่นกฎหมายให้จ่ายภาษี อย่างไรก็ดี เราจะทำอย่างไรหากกฎหมายบ้านเมืองขัดแย้งกับกฎของพระผู้เป็นเจ้า เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองให้คำแนะนำดังนี้

“บางครั้งเราต้องท้าทายกฎหมายที่จะบั่นทอนเสรีภาพในการนับถือศาสนาของเราโดยอาศัยสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญของเราที่จะปฏิบัติตามศาสนาได้อย่างเสรี” (“สร้างสมดุลสัจธรรมและขันติธรรม,” เลียโฮนา, ก.พ. 2013, 31)

เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์สอนเราด้วยว่าเมื่อกฎหมายบ้านเมืองอนุญาตให้มีการกระทำบาป เรายังถูกผูกมัดให้รักษากฎของพระผู้เป็นเจ้า

“หลักแห่งความเชื่อข้อสิบสองกล่าวว่าเราเชื่อในการอยู่ใต้อาณัติของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ‘ในการเชื่อฟัง, การยกย่อง, และการสนับสนุนกฎหมาย’ แต่กฎหมายของมนุษย์ไม่สามารถทำให้สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่าผิดศีลธรรมกลายเป็นถูกศีลธรรมได้ การยึดลำดับความสำคัญสูงสุดขอเรา—รักและปรนนิบัติพระผู้เป็นเจ้า—เรียกร้องให้เราถือว่ากฎของพระองค์เป็นมาตรฐานความประพฤติของเรา ตัวอย่างเช่นเรายังอยู่ภายใต้บัญชาสวรรค์ไม่ให้ล่วงประเวณีหรือมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานแม้ว่ากฎหมายของรัฐหรือของประเทศที่เราอาศัยอยู่ถือว่าการกระทำเหล่านั้นไม่ผิด ทำนองเดียวกันกฎหมายที่อนุญาตให้ ‘แต่งงานเพศเดียวกัน’ ไม่ได้เปลี่ยนกฎการแต่งงานของพระผู้เป็นเจ้าหรือพระบัญญัติของพระองค์และมาตรฐานของเราเกี่ยวกับเรื่องนั้น” (“ห้ามมีพระผู้เป็นเจ้าอื่น,” เลียโฮนา, พ.ย. 2013, 74–75)

มัทธิว 22:23–30 การแต่งงานในการฟื้นคืนชีวิต

“กุญแจสำคัญในการเข้าใจพระคำของพระผู้ช่วยให้รอดคือจำว่าพระคำเหล่านี้ตรัสกับพวกสะดูสี ผู้ที่ ‘สอนว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย’ (มัทธิว 22:23) ดังนั้น คำถามที่พวกเขาถามพระผู้ช่วยให้รอดจึงไม่จริงใจ—พวกเขาไม่ได้สนใจจริงๆ ที่จะรู้เกี่ยวกับการแต่งงานในการฟื้นคืนชีวิต พระดำรัสตอบของพระผู้ช่วยให้รอด ‘เมื่อมนุษย์เป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก’ (มัทธิว 22:30; เพิ่มตัวเอน) หมายถึงชาวสะดูสีผู้ที่ถามเนื่องจากผู้ถามพูดว่า ‘เรา มีพี่น้องเจ็ดคน’ (มัทธิว 22:25; เพิ่มตัวเอน) สำหรับคนที่ไม่ได้แต่งงานเพื่อนิรันดร การแต่งงานจะไม่ดำเนินไปเกินกว่าชีวิตนี้ (ดู คพ.132:15–17) ในยุคสุดท้ายนี้ พระเจ้าทรงเปิดเผยว่าการแต่งงานสามารถเป็นนิรันดร์ได้หากได้เข้าสู่กฎของพระองค์ ปฏิบัติโดยคนที่มีสิทธิอำนาจ และผนึกโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งคำสัญญา (ดู คพ. 132:19)

“กุญแจอีกอย่างหนึ่งที่จะเข้าใจพระคำของพระผู้ช่วยให้รอดคือการตระหนักว่าเมื่อพากสะดูสีพูดถึงคำของโมเสส (ดู มัทธิว 22:24) พวกเขาพูดถึงคำว่า ‘levirate marriage (การแต่งงานเพื่อสืบสกุลพี่น้อง’ ตามกฎของโมเสส เมื่อชายคนหนึ่งตาย ทิ้งภรรยาให้อยู่โดยไม่มีลูก พี่ชายหรือน้องชายของเขาต้องแต่งงานกับภรรยาของชายที่ตายไปเพื่อดูแลเธอและเลี้ยงดูลูกของชายที่ตายไป (ดู เฉลยธรรมบัญญัติ 25:5; Bible Dictionary, Levirate marriage)” (คู่มือนักเรียน พันธสัญญาใหม่ [คู่มือของระบบการศึกษาศาสนจักร, 2014], 66–67)

มัทธิว 22:35–40 พระบัญญัติข้อใหญ่สองข้อ

ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันกล่าวดังต่อไปนี้เกี่ยวกับพระบัญญัติสำคัญข้อแรกและข้อที่สอง

“การรักพระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดใจ จิตวิญญาณ ความคิด และพละกำลังของท่านคือการใช้พลังความสามารถทั้งหมดทุกด้านของท่าน ไม่ใช่การทำอย่างเสียไม่ได้ แต่คือการทุ่มสุดตัว—ทางกาย จิตใจ อารมณ์ และวิญญาณ—เพื่อรักพระเจ้า

“ความกว้าง ความลึก และความสูงแห่งความรักนี้ของพระผู้เป็นเจ้าขยายเข้าไปในทุกแง่มุมของชีวิตเรา ความปรารถนาของเรา ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางวิญญาณ ควรหยั่งรากในความรักพระเจ้า ความรู้สึกนึกคิดของเราควรมีศูนย์รวมที่พระเจ้า …

“เหตุใดพระผู้เป็นเจ้าทรงให้พระบัญญัติข้อแรกมาเป็นอันดับแรก เพราะพระองค์ทรงทราบว่าถ้าเรารักพระองค์จริงเราจะต้องการรักษาพระบัญญัติข้ออื่นทั้งหมดของพระองค์ …

“เมื่อเราให้พระผู้เป็นเจ้ามาเป็นอันดับแรก เรื่องอื่นทั้งหมดจะลงตัวหรือออกไปจากชีวิตเรา ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าจะควบคุมการเรียกร้องทางอารมณ์ของเรา การเรียกร้องเวลาของเรา ความสนใจที่เราเสาะแสวงหา และการจัดลำดับความสำคัญของเรา

เราควรให้พระผู้เป็นเจ้ามาก่อน คนอื่นทั้งหมด ในชีวิตเรา …

“เราเป็นพรให้เพื่อนมนุษย์มากที่สุดเมื่อเราให้พระบัญญัติข้อแรกมาก่อน” (The Great Commandment—Love the Lord, Ensign, พ.ค. 1988, 4–6; ดู มาระโก 12:28–34 ด้วย)

มัทธิว 22:45 “ถ้าดาวิดทรงเรียกท่านว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะเป็นเชื้อสายของดาวิดได้อย่างไร?”

เอ็ลเดอร์เจมส์ อี. ทาลเมจแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเยโฮวาห์

“พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเชื้อสายของดาวิดในทางกายภาพ … แต่ขณะที่พระเยซูประสูติในเนื้อหนังหลายศตวรรษต่อมาใน ‘ความเรืองโรจน์แห่งเวลา’ พระองค์ทรงเป็นพระเยโฮวาห์ พระเจ้าและพระผู้เป็นเจ้า ก่อนที่จะมีใครรู้จักดาวิด อับราฮัม หรืออาดัมบนแผ่นดินโลก” (Jesus the Christ, 3rd ed. [1916], 552)