คลังค้นคว้า
บทที่ 136: 4 นีไฟ 1


บทที่ 136

4 นีไฟ

คำนำ

หลังจากการปฏิบัติศาสนกิจของพระเยซูคริสต์ในบรรดาผู้สืบตระกูลของลีไฮ ผู้คนประยุกต์ใช้คำสอนของพระองค์และมีความเป็นหนึ่งเดียว ความรุ่งเรือง และความสุขนานกว่า 100 ปี พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวในฐานะ “ลูกของพระคริสต์” และไม่เรียกตนเองว่าชาวนีไฟหรือชาวเลมันอีกต่อไป (4 นีไฟ 1:17) แต่ในที่สุดพวกเขากลับจองหองและชั่วร้ายมากขึ้น พวกเขาแบ่งแยกเป็นชาวนีไฟและชาวเลมันอีกครั้ง ราว 300 ปีหลังจากการเสด็จเยือนของพระผู้ช่วยให้รอด ผู้คนเกือบทั้งหมดกลายเป็นคนชั่วร้าย

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

4 นีไฟ 1:1–18

ทุกคนเปลี่ยนใจเลื่อมใสและมีความสงบสุข

ก่อนชั้นเรียน เตรียมกระดาษเปล่าให้นักเรียนคนละสองแผ่น—หากเป็นไปได้ ให้แผ่นหนึ่งเป็นสีขาวและอีกแผ่นเป็นสีอื่น (ครึ่งแผ่นก็พอ) วางกระดาษสีขาวไว้บนโต๊ะหรือเก้าอี้ของนักเรียนก่อนพวกเขามาถึง เก็บกระดาษสีไว้ใช้ในบทเรียนช่วงหลัง เขียนคำถามต่อไปนี้ไว้บนกระดาน: อะไรทำให้คุณมีความสุขอย่างแท้จริง? เมื่อนักเรียนมาถึง เชื้อเชิญให้พวกเขาเขียนคำตอบของคำถามนี้บนกระดาน

เริ่มชั้นเรียนโดยสนทนาคำตอบที่พวกเขาเขียนไว้บนกระดาน ถามนักเรียนดังนี้

  • อะไรคือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขชั่วคราวกับสิ่งที่นำไปสู่ความสุขอันยั่งยืน (ขณะที่นักเรียนตอบ ท่านอาจต้องการเน้นว่าความสุขที่แท้จริงไม่สามารถพบได้ในสิ่งทางโลกเช่น ชื่อเสียงเกียรติคุณ ความร่ำรวย และวัตถุสิ่งของ)

อธิบายว่า 4 นีไฟ เป็นบันทึกของผู้สืบตระกูลของลีไฮหลายรุ่นผู้มีชีวิตหลังจากการเสด็จเยือนของพระเยซูคริสต์ เชื้อเชิญนักเรียนให้อ่าน 4 นีไฟ 1:16 ในใจโดยดูว่ามอรมอนพูดถึงคนที่มีชีวิตอยู่หลังจากการเสด็จเยือนของพระผู้ช่วยให้รอดประมาณ 100 ปีว่าอย่างไร ท่านอาจต้องการเสนอแนะให้นักเรียนทำเครื่องหมายที่ข้อความว่า “แน่แท้แล้วไม่มีผู้คนใดมีความสุขยิ่งกว่านี้ได้” ขอให้นักเรียนเขียน ไม่มีผู้คนใดมีความสุขยิ่งกว่านี้ได้ ไว้บนสุดของแผ่นกระดาษที่ท่านเตรียมไว้ให้ จากนั้นให้พวกเขาวาดวงกลมวงใหญ่ตรงกลางกระดาษ

วงกลม

ขอให้นักเรียนอ่าน 4 นีไฟ 1:1–2 โดยดูว่าผู้คนทำอะไรที่ทำให้ความสุขนี้เกิดขึ้น เชื้อเชิญพวกเขาให้เขียนสิ่งที่พบไว้ในวงกลม (คำตอบควรได้แก่ ผู้คนกลับใจ รับบัพติศมา ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ “ผู้คนทั้งหมดได้รับการเปลี่ยนใจเลื่อมใสมาสู่พระเจ้า”)

  • ได้รับการเปลี่ยนใจเลื่อมใสหมายความว่าอย่างไร

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่าการเปลี่ยนใจเลื่อมใสลึกซึ้งกว่าการเพียงแค่มีประจักษ์พยานหรือการเป็นสมาชิกของศาสนจักร เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงคำกล่าวต่อไปนี้ของเอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง หากอยู่ในวิสัยที่ทำได้ให้เตรียมสำเนาคำกล่าวนี้แจกนักเรียน กระตุ้นพวกเขาให้ระบุคำและวลีที่ให้คำจำกัดความของการเปลี่ยนใจเลื่อมใส

“ความสุขของท่านเวลานี้และตลอดกาลขึ้นอยู่กับระดับการเปลี่ยนใจเลื่อมใสและการเปลี่ยนแปลงที่การเปลี่ยนใจเลื่อมใสนำมาสู่ชีวิตท่าน แล้วท่านจะเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างแท้จริงได้อย่างไร ประธาน [มาเรียน จี.] รอมนีย์บอกขั้นตอนที่ท่านต้องทำตามดังนี้

เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก๊อตต์

“‘การเป็นสมาชิกในศาสนจักรและการเปลี่ยนใจเลื่อมใสไม่จำเป็นต้องมีความหมายเหมือนกัน การเปลี่ยนใจเลื่อมใสและการมีประจักษ์พยานไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเดียวกัน ประจักษ์พยานเกิดขึ้นเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานพยานยืนยันความจริงแก่ผู้แสวงหาอย่างจริงจัง ประจักษ์พยานที่แท้จริงให้พลังแก่ศรัทธา กล่าวคือ ประจักษ์พยานก่อให้เกิดการกลับใจและการเชื่อฟังพระบัญญัติ การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเป็นผลหรือรางวัลสำหรับการกลับใจและการเชื่อฟัง’ [ใน Conference Report, Guatemala Area Conference 1977, 8–9]

“กล่าวง่ายๆ คือ การเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่แท้จริงเป็นผลของ ศรัทธา การกลับใจ และ การเชื่อฟังอยู่เสมอ …

“การเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่แท้จริงให้ผลของความสุขอันยั่งยืนที่สามารถมีได้แม้เมื่อโลกอยู่ในความยุ่งเหยิงและคนส่วนใหญ่ไม่มีความสุขเลย” (ดู “การเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างสมบูรณ์นำมาซึ่งความสุข,” เลียโฮนา, ก.ค. 2002, 30, 31)

  • ท่านได้ยินคำและวลีใดที่ให้คำจำกัดความของการเปลี่ยนใจเลื่อมใส

  • ท่านคิดว่าจะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนรอบตัวท่านเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระเจ้า

เขียนพระคัมภีร์อ้างอิงต่อไปนี้ไว้บนกระดาน: 4 นีไฟ 1:2–3, 5, 7, 10–13, 15–18 เชิญนักเรียนหลายๆ คนผลัดกันอ่านออกเสียงจากข้อเหล่านี้ ขอให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาคำและวลีบอกสิ่งที่ผู้คนประสบเพราะทุกคนเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระเจ้า เชื้อเชิญนักเรียนให้เขียนคำและวลีเหล่านี้ไว้รอบวงกลมในกระดาษของพวกเขา (คำตอบอาจได้แก่ ไม่มีความขัดแย้งหรือการโต้เถียง พวกเขาปฏิบัติต่อกันอย่างเที่ยงธรรม พวกเขามีสิ่งของทั้งหมดเพื่อใช้ร่วมกัน มีการกระทำปาฏิหาริย์มากมายในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนรุ่งเรือง พวกเขาสร้างเมืองที่ถูกทำลายขึ้นมาใหม่ พวกเขาแต่งงานและสร้างครอบครัว พวกเขาขยายเผ่าพันธุ์และแข็งแกร่ง ความรักของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในใจพวกเขา พวกเขามีความสุขและเป็นหนึ่งเดียวกัน)

ขอให้นักเรียนระบุหลักธรรมหนึ่งเกี่ยวกับความสุขที่พวกเขาเรียนรู้จากครึ่งแรกของ 4 นีไฟ 1 ถึงแม้นักเรียนจะระบุหลักธรรมหลายข้อ แต่พึงแสดงให้เห็นว่า เมื่อผู้คนทำงานด้วยกันเพื่อให้เปลี่ยนใจเลื่อมใสพระเจ้า พวกเขาย่อมเป็นหนึ่งเดียวกันและมีความสุขมากขึ้น ท่านอาจต้องการเขียนหลักธรรมนี้บนกระดาน

  • ท่านคิดว่าพรใดจะเกิดแก่ชั้นเรียนของเราถ้าเราทุกคนดำเนินชีวิตเช่นเดียวกับคนเหล่านี้ ท่านคิดว่าพรใดจะเกิดแก่ครอบครัวท่าน ท่านคิดว่าพรใดจะเกิดแก่วอร์ดหรือสาขาของท่าน

เชื้อเชิญนักเรียนให้เล่าเกี่ยวกับเวลาที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันในความชอบธรรม เช่น ครอบครัวของพวกเขา โควรัมหรือชั้นเรียน หรือกลุ่มเพื่อน ท่านอาจแบ่งปันประสบการณ์เช่นกัน

  • การที่ท่านพยายามเป็นคนชอบธรรมสามารถส่งผลต่อความสุขและความผาสุกของคนรอบข้างท่านอย่างไร (นักเรียนพึงเข้าใจว่าการเปลี่ยนใจเลื่อมใสและการกระทำอันชอบธรรมของเราไม่เพียงเอื้อประโยชน์ต่อความสุขของเราเองเท่านั้นแต่จะเอื้อประโยชน์ต่อความสุขและความผาสุกของผู้อื่นด้วย เมื่อสมาชิกในครอบครัว โควรัม ชั้นเรียน หรือกลุ่มอื่นเป็นหนึ่งเดียวกันในความชอบธรรม พวกเขาจะมีความสุขได้มากกว่าการที่จะประสบด้วยตนเอง)

  • บาปของบุคคลหนึ่งสามารถส่งผลต่อคนอื่นๆ ในกลุ่มคนที่กำลังพยายามเป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร

กระตุ้นนักเรียนให้เพิ่มพลังการเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระเจ้าของตนเองและช่วยให้คนรอบข้างทำเช่นเดียวกัน เพื่อช่วยนักเรียนกับเรื่องท้าทายนี้ ขอให้พวกเขาทบทวนคำและวลีที่เขียนไว้ในกระดาษ เชื้อเชิญพวกเขาให้เลือกหนึ่งหรือสองวลีที่พูดถึงการดำเนินชีวิตในด้านต่างๆ ที่พวกเขาต้องการประสบ ให้เวลาพวกเขาสองสามนาทีเขียนในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ว่าพวกเขาจะพยายามดำเนินชีวิตในด้านเหล่านี้อย่างไร เป็นพยานถึงความสุขอันเกิดจากการเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่แท้จริงและการเป็นหนึ่งเดียวกันในความชอบธรรม

4 นีไฟ 1:19–49

ชาวนีไฟชั่วร้ายมากขึ้นจนเหลือคนชอบธรรมเพียงไม่กี่คน

  • ท่านคิดว่าอะไรจะทำลายสังคมได้เหมือนสังคมที่บรรยายไว้ใน 4 นีไฟ 1:1–18

ให้นักเรียนอ่าน 4 นีไฟ 1:20, 23–24 ในใจโดยดูว่าอะไรคุกคามความเป็นหนึ่งเดียวกันและความสุขของผู้คน ท่านอาจแนะนำให้พวกเขาทำเครื่องหมายสิ่งที่พบ หลังจากพวกเขารายงานสิ่งที่พบแล้ว ให้เขียนคำกล่าวต่อไปนี้ของประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์แห่งฝ่ายประธานสูงสุดไว้บนกระดาน (คำกล่าวนี้อยู่ใน “ใจเราผูกพันเป็นหนึ่งเดียว,” เลียโฮนา, พ.ย. 2008, 87) ท่านอาจต้องการเสนอแนะให้นักเรียนลอกคำกล่าวนี้ลงในพระคัมภีร์ของพวกเขาใกล้กับ 4 นีไฟ 1:24

“ความจองหองเป็นศัตรูตัวฉกาจกับความเป็นหนึ่งเดียว” (ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์)

  • ท่านคิดว่าความจองหองเป็นศัตรูกับความเป็นหนึ่งเดียวในด้านใด

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงคำกล่าวต่อไปนี้จากประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟแห่งฝ่ายประธานสูงสุด ขอให้ชั้นเรียนฟังวิธีที่ความจองหองสามารถทำลายความเป็นหนึ่งเดียวได้

ประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ

“โดยพื้นฐานแล้ว ความจองหองคือบาปของการเปรียบเทียบ เพราะถึงแม้โดยปกติจะเริ่มด้วย ‘ดูสิว่าฉันเยี่ยมแค่ไหนและฉันทำสิ่งสำคัญอะไรบ้าง’ แต่มักจะลงเอยด้วย ‘เพราะฉะนั้น ฉันจึงดีกว่าเธอ”

“เมื่อใจเราเต็มไปด้วยความจองหอง เท่ากับเราทำบาปร้ายแรง เพราะเราละเมิดพระบัญญัติข้อใหญ่สองข้อ [ดู มัทธิว 22:36–40] แทนที่จะนมัสการพระผู้เป็นเจ้าและรักเพื่อนบ้าน เรากลับเผยเป้าหมายแท้จริงของการนมัสการและความรักของเรา—ภาพที่เราเห็นในกระจก” (ดู “ความจองหองและฐานะปุโรหิต,” เลียโฮนา, พ.ย. 2010, 70)

  • จากคำกล่าวของประธานอุคท์ดอร์ฟ ความจองหองสามารถทำลายความเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร

เชิญนักเรียนสองสามคนผลัดกันอ่านออกเสียงจาก 4 นีไฟ 1:24–35, 38–45 ขอให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาผลกระทบของความจองหองในบรรดาผู้คน ท่านอาจต้องการเสนอแนะให้นักเรียนทำเครื่องหมายสิ่งที่พบ (คำตอบอาจได้แก่ สวมเสื้อผ้าราคาแพง แบ่งชนชั้นทางสังคมหรือกลุ่มเพื่อนพิเศษ สร้างศาสนจักรเพื่อหาผลประโยชน์ ปฏิเสธศาสนจักรที่แท้จริง ข่มเหงคนซื่อสัตย์ ตั้งการมั่วสุมลับ และความชั่วร้าย)

ขอให้นักเรียนรายงานสิ่งหนึ่งที่เขาพบทีละคน (นักเรียนอาจตอบซ้ำกัน) ขณะที่นักเรียนแต่ละคนตอบ ให้เขียนคำตอบของเขาลงในกระดาษสีแผ่นที่ท่านแยกไว้ต่างหากก่อนชั้นเรียน แจกกระดาษสีแก่นักเรียนแลกกับกระดาษขาวที่พูดถึงความสุขและความเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้คน ทำขั้นตอนนี้ซ้ำจนกว่านักเรียนทุกคนในชั้นได้เปลี่ยนกระดาษขาวเป็นกระดาษสี

ขอให้นักเรียนมองไปรอบๆ และดูว่าทุกคนในชั้นมีกระดาษสีซึ่งเป็นตัวแทนของความจองหอง เชื้อเชิญพวกเขาให้ไตร่ตรองว่าสานุศิษย์สามคนของพระคริสต์ต้องรู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเขาเห็นความจองหองและความชั่วร้ายแพร่ไปในบรรดาผู้คนที่ครั้งหนึ่งเคยมีความสุขและเป็นหนึ่งเดียวกัน

  • เราเรียนรู้ความจริงอะไรได้บ้างจากข้อเหล่านี้ (ถึงแม้นักเรียนอาจจะใช้คำพูดต่างกัน แต่พวกเขาควรระบุหลักธรรมต่อไปนี้: บาปของความจองหองก่อให้เกิดการแบ่งแยกและนำไปสู่ความชั่วร้าย ท่านอาจต้องการเขียนความจริงดังกล่าวบนกระดาน)

  • ความจองหองของคนไม่กี่คนจะส่งผลต่อความสุขของคนทั้งกลุ่มได้อย่างไร

เชื้อเชิญนักเรียนให้พิจารณาว่าความจองหองของบุคคลหนึ่งอาจจะมีผลต่อผู้อื่นได้อย่างไรในตัวอย่างต่อไปนี้

  1. แม้จะได้รับการกระตุ้นจากครอบครัว แต่พี่ชายก็มุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนตนแทนที่จะรับใช้งานเผยแผ่

  2. สมาชิกคนหนึ่งในชั้นเรียนเยาวชนหญิงหรือโควรัมฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนจงใจสร้างความแตกแยก ไม่ยอมมีส่วนร่วมในชั้นเรียน และต่อต้านการทำตามคำแนะนำ

  3. เยาวชนชายหรือเยาวชนหญิงคนหนึ่งล้อเลียนหรือดูหมิ่นสมาชิกอีกคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของเขา

ขอให้นักเรียนนึกถึงเวลาที่พวกเขาเคยเห็นความจองหองทำลายความสุขและความเป็นหนึ่งเดียว

เชื้อเชิญนักเรียนให้พิจารณาบทบาทของพวกเขาในกลุ่มต่างๆ ที่พวกเขาเป็นสมาชิก อาทิ ครอบครัว โควรัมหรือชั้นเรียน วอร์ดหรือสาขา และชั้นเรียนเซมินารี (ท่านอาจต้องการกล่าวถึงกลุ่มอื่นที่นักเรียนเป็นสมาชิกด้วย) ขอให้พวกเขาไตร่ตรองว่าพวกเขาได้ทำหรือกำลังทำสิ่งใดอันแสดงให้เห็นความจองหองในความสัมพันธ์ของพวกเขากับคนอื่นๆ ในกลุ่มเหล่านี้หรือไม่ กระตุ้นพวกเขาให้กลับใจและคิดหาวิธีที่พวกเขาสามารถเอาชนะความจองหองและส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียวและความชอบธรรมในกลุ่มเหล่านี้ อีกทั้งกระตุ้นพวกเขาให้ไตร่ตรองสิ่งที่เขียนไว้ว่าพวกเขามีแผนจะดำเนินชีวิตให้เหมือนผู้สืบตระกูลของลีไฮที่เปลี่ยนใจเลื่อมในพระเจ้ามากขึ้นอย่างไร

เป็นพยานว่าเมื่อเราพยายามเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระเยซูคริสต์และดำเนินชีวิตด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้อื่นมากขึ้น เราจะมีความสุขได้ดังที่บรรยายไว้ใน 4 นีไฟ 1:1–18

ข้อคิดเห็นและข้อมูลภูมิหลัง

4 นีไฟ 1:1–2 “ผู้คนทั้งหมดได้รับการเปลี่ยนใจเลื่อมใสมาสู่พระเจ้า”

ประธานมาเรียน จี. รอมนีย์แห่งฝ่ายประธานสูงสุดอธิบายขั้นตอนการเปลี่ยนใจเลื่อมใสดังนี้

“การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเป็นผลจากการให้อภัยของพระเจ้าซึ่งปลดบาป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับน่าจะเป็นดังนี้ ผู้แสวงหาที่ซื่อสัตย์ได้ยินข่าวสาร เขาทูลถามพระเจ้าในการสวดอ้อนวอนว่าข่าวสารนั้นจริงหรือไม่ พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ประทานพยานแก่เขา นี่คือประจักษ์พยาน ถ้าประจักษ์พยานของคนๆ หนึ่งเข้มแข็งพอ เขาจะกลับใจและเชื่อฟังพระบัญญัติ โดยการเชื่อฟังเช่นนั้นเขาได้รับการให้อภัยจากพระเจ้าซึ่งปลดบาป ด้วยเหตุนี้เขาจึงเปลี่ยนใจเลื่อมใสสู่ชีวิตใหม่ วิญญาณของเขาได้รับการเยียวยา” (ใน Conference Report, Oct. 1963, 24)

4 นีไฟ 1:1–18 จำเป็นต้องมีความเป็นหนึ่งเดียว

ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์แห่งฝ่ายประธานสูงสุดสอนดังนี้

“ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าขอร้องเสมอให้มีความเป็นหนึ่งเดียว เราจำเป็นต้องมีของประทานนั้นและการท้าทายให้ดำรงความเป็นหนึ่งเดียวจะเพิ่มมากขึ้นในวันหน้า ซึ่งในวันเหล่านั้นผู้คนของเราจะต้องได้รับการเตรียมให้พร้อมรับจุดหมายอันรุ่งโรจน์ของเรา …

“… เรารู้จากประสบการณ์ว่าปีติเกิดขึ้นเมื่อเราได้รับพรด้วยความเป็นหนึ่งเดียว เราในฐานะบุตรธิดาทางวิญญาณของพระบิดาบนสวรรค์ เราโหยหาปีตินั้นซึ่งเราเคยมีกับพระองค์ในชีวิตก่อนหน้านี้ พระประสงค์ของพระองค์คือให้เรามีความปรารถนาอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับความเป็นหนึ่งเดียวอันเกิดจากความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรา

“พระองค์จะไม่ประทานสิ่งนี้ให้เราเป็นรายบุคคล ปีติของความเป็นหนึ่งเดียวที่พระองค์ประสงค์จะประทานแก่เราอย่างยิ่งไม่ใช่ให้เราเพียงคนเดียว เราต้องแสวงหาและมีค่าสมกับจะได้สิ่งนี้ร่วมกับผู้อื่น จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงกระตุ้นให้เรามาชุมนุมกันเพื่อพระองค์จะประทานพรเรา พระองค์ทรงต้องการให้เราชุมนุมกันเป็นครอบครัว พระองค์ทรงจัดตั้งชั้นเรียน วอร์ด สาขา และทรงบัญชาให้เรามาประชุมกันบ่อยๆ ในการชุมนุมเหล่านั้นซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงวางรูปแบบไว้ เรามีโอกาสยิ่งใหญ่รอเราอยู่ เราสามารถสวดอ้อนวอนและทำงานเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวซึ่งจะนำปีติมาให้เราและเพิ่มพลังให้เรารับใช้” (ดู “ใจเราผูกพันเป็นหนึ่งเดียว,” เลียโฮนา, พ.ย. 2008, 84, 85–86)