คลังค้นคว้า
บทที่ 113: ฮีลามัน 13


บทที่ 113

ฮีลามัน 13

บทนำ

ไม่กี่ปีก่อนการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทรงส่งศาสดาพยากรณ์ชาวเลมันชื่อแซมิวเอลเพื่อสั่งสอนเรื่องการกลับใจแก่ชาวนีไฟ เขาประกาศแก่ชาวนีไฟในเซราเฮ็มลาเรื่องข่าวประเสริฐแห่งการไถ่ผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ เขาเผชิญหน้ากับผู้คนเกี่ยวกับการที่พวกเขาปฏิเสธศาสดาพยากรณ์และนิสัยใจคอของพวกเขาในการแสวงหาความสุขจากความชั่วช้าสามานย์ เขาเตือนผู้คนถึงความพินาศที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาถ้าพวกเขาไม่กลับใจ

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

ฮีลามัน 13

แซมิวเอลเตือนชาวนีไฟถึงความพินาศถ้าพวกเขาไม่กลับใจ

ก่อนเริ่มชั้นเรียน เตรียมเอกสารแจกที่มีอยู่ท้ายบทเรียนนี้ ท่านอาจตัดเอกสารแจกออกเป็นสามส่วน โดยให้งานมอบหมายหนึ่งกลุ่มในกระดาษแต่ละชิ้น ก่อนเริ่มชั้นเรียน ทำสำเนาสรุปย่อต่อไปนี้ของ ฮีลามัน 13 ไว้บนกระดานด้วย

ฮีลามัน 13:1–4 พระเจ้าทรงเรียกแซมิวเอลชาวเลมันเพื่อสั่งสอนชาวนีไฟ

ฮีลามัน 13:5–23 แซมิวเอลเตือนชาวนีไฟถึงความพินาศที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาถ้าพวกเขาไม่กลับใจ

ฮีลามัน 13:24–39 แซมิวเอลเตือนผู้คนถึงผลอันเกิดจากการปฏิเสธศาสดาพยากรณ์และไม่ยอมกลับใจ

แซมิวเอลชาวเลมันบนกำแพง

เริ่มต้นชั้นเรียนโดยให้ดูภาพของแซมิวเอลชาวเลมันบนกำแพง (62370; หนังสือภาพพระกิตติคุณ [2009], หมายเลข 81) ถามนักเรียนว่าพวกเขารู้สาเหตุที่ชาวนีไฟต้องการฆ่าแซมิวเอลหรือไม่ หลังจากนักเรียนตอบ ให้อธิบายว่า ฮีลามัน 13–16 มีเรื่องราวของศาสดาพยากรณ์แซมิวเอลชาวเลมัน เรื่องราวนี้มีความพิเศษเฉพาะตัวเพราะเป็นเพียงครั้งเดียวในพระคัมภีร์มอรมอนที่เราเรียนรู้ว่าศาสดาพยากรณ์ชาวเลมันเรียกให้ชาวนีไฟกลับใจ ในช่วงเวลานี้ ชาวเลมันชอบธรรมกว่าชาวนีไฟ อ้างอิงสรุปย่อบนกระดานเพื่อให้นักเรียนมองเห็นภาพโดยรวมพอสังเขปของ ฮีลามัน 13

แบ่งชั้นเรียนออกเป็นสามกลุ่ม (หากอยู่ในวิสัยที่ทำได้ แต่ละกลุ่มควรมีจำนวนนักเรียนเท่ากัน) ให้นักเรียนแต่ละคนทำสำเนางานมอบหมายในกลุ่มของตนเอง (มีอยู่ท้ายบทเรียน) บอกนักเรียนว่าพวกเขาจะศึกษา ฮีลามัน 13 บางส่วนและจากนั้นสอนสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ให้กัน ขอให้นักเรียนเตรียมสอนหลักธรรมจากข้อความพระคัมภีร์ที่ได้รับมอบหมายและเตรียมตอบคำถามที่มาควบคู่กัน ให้ทางเลือกนักเรียนในการเขียนคำตอบของเขา (กิจกรรมนี้จะช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมและเตรียมสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยซึ่งนักเรียนสามารถแบ่งปันความรู้สึก ความคิด และประจักษ์พยานให้กันฟัง)

หลังจากนักเรียนมีเวลาศึกษาส่วนตัวอย่างเพียงพอ มอบหมายให้พวกเขาทำงานในกลุ่มสามกลุ่ม หากอยู่ในวิสัยที่ทำได้ แต่ละกลุ่มควรมีนักเรียนที่ศึกษา ฮีลามัน 13:1–7, 11, คนหนึ่งที่ศึกษา ฮีลามัน 13:17–23, และคนหนึ่งที่ศึกษา ฮีลามัน 13:24–33 ให้เวลานักเรียนแต่ละคนมากพอที่จะแบ่งปันคำตอบของเขากับสมาชิกคนอื่นในกลุ่ม ระหว่างการสนทนากลุ่มย่อย เดินไปรอบชั้นเรียนและสังเกตคำตอบของนักเรียน หากเหมาะสม ให้เสริมความคิดเห็นของท่านต่อการสนทนาที่ท่านได้ยิน

เมื่อนักเรียนมีเวลาสอนกัน เชื้อเชิญให้พวกเขาสองสามคน แบ่งปัน กับทั้งชั้นเรียนถึงความจริงหรือความคิดเห็นที่พวกเขาเรียนรู้จากนักเรียนอีกคนหนึ่งระหว่างกิจกรรม

สรุป ฮีลามัน 13:9–14 โดยอธิบายว่าชาวนีไฟจะถูกทำลายภายใน 400 ปี (ดู ฮีลามัน 13:9–10) และเหตุผลเดียวที่พวกเขายังไม่ถูกทำลายเพราะมีคนที่ชอบธรรมอยู่ท่ามกลางพวกเขา (ดู ฮีลามัน 13:13–14) เป็นพยานว่าพระเจ้าทรงส่งแซมิวเอลมาหาชาวนีไฟ และเขาพูดสิ่งที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในใจเขาขณะที่เขาเชื้อเชิญชาวนีไฟให้กลับใจและกลับไปหาพระเจ้า (ดู ฮีลามัน 13:11)

เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่านออกเสียง ฮีลามัน 13:27–28 ขอให้ชั้นเรียนดูตาม มองหาวิธีที่ชาวนีไฟตอบรับศาสดาพยากรณ์ปลอม

  • ตามที่แซมิวเอลกล่าว ชาวนีไฟตอบรับผู้ที่สอนความเชื่อผิดๆ เหตุใดท่านจึงคิดว่าบางคนยอมรับคำชักจูงของเขาและบางคนปฏิเสธ

  • คำพูดและเจตคติที่เราอ่านใน ฮีลามัน 13:27 เห็นได้ชัดในยุคสมัยของเราอย่างไร

ขอให้นักเรียนอ่านออกเสียงคำพูดต่อไปนี้จากประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน

“วิธีที่เราตอบรับถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่เมื่อท่านบอกสิ่งที่เราต้องรู้ แต่กลับไม่ฟัง เป็นการทดสอบความซื่อสัตย์ของเรา” (“Fourteen Fundamentals in Following the Prophet” [BYU devotional address, Feb. 26, 1980], 3–4, speeches.byu.edu)

  • คำแนะนำใดจากศาสดาพยากรณ์ที่บางคนอาจปฏิบัติตามได้ยากในปัจจุบัน

  • แบบอย่างจากคำแนะนำที่ได้รับจากศาสดาพยากรณ์ใดที่ท่านเลือกเชื่อฟัง ท่านได้รับพรอย่างไรเพราะท่านทำตามคำแนะนำนี้

เชื้อเชิญให้นักเรียนเขียนในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์เกี่ยวกับวิธีหนึ่งที่พวกเขาสามารถปรับปรุงในคำแนะนำต่อไปนี้ของศาสดาพยากรณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่

เมื่อนักเรียนมีเวลาเขียนเพียงพอ ขอให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง ฮีลามัน 13:33–37 ขอให้ชั้นเรียนดูตาม มองหาสิ่งที่ชาวนีไฟซึ่งไม่ยอมกลับใจจนท้ายที่สุดแล้วจะประสบและสิ่งที่พวกเขาจะพูดถึงตนเอง จากนั้นเชิญนักเรียนอีกคนหนึ่งอ่านออกเสียง ฮีลามัน 13:38 ขอให้ชั้นเรียนมองหาความจริงอันน่าเศร้าที่แซมิวเอลประกาศไว้เกี่ยวกับอนุชนรุ่นหลังของชาวนีไฟ

  • ความจริงอันน่าเศร้าใดที่แซมิวเอลประกาศไว้เกี่ยวกับอนุชนรุ่นหลังของชาวนีไฟ

  • ท่านคิดว่าแซมิวเอลหมายความว่าอย่างไรเมื่อเขากล่าวว่า “วันเวลาแห่งการทดลองของท่านผ่านพ้นไปแล้ว” (อนุชนรุ่นหลังของชาวนีไฟจะผัดวันแห่งการกลับใจของพวกเขาจนกระทั่งสายเกินไปที่พวกเขาจะกลับใจ และเพราะว่าพวกเขาไม่กลับใจ บาปของพวกเขาจึงนำไปสู่ความพินาศ)

  • มองหาสิ่งที่เกิดขึ้นกับการแสวงหา “ความสุขด้วยการทำความชั่วช้าสามานย์” (ช่วยให้นักเรียนเห็นว่า ความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรารักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า)

  • ผู้คนแสวงหาความสุขด้วยการทำความชั่วช้าสามานย์ด้วยวิธีใดบ้าง

เตือนนักเรียนถึงเรื่องราวอื่นๆ ในพระคัมภีร์มอรมอนซึ่งผู้คนยืนกรานอยู่ในการกบฏและความชั่วร้ายจนจิตใจของพวกเขาแข็งกระด้างต่ออิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ตัวอย่างเช่นเลมันกับเลมิวเอลที่ใจพวกเขา “เกินกว่าจะรู้สึก” [1 นีไฟ 17:45] และปฏิเสธที่จะสดับฟังพระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์โนอาห์และผู้คนของเขา ซึ่งปฏิเสธที่จะกลับใจโดยไม่คำนึงถึงคำเตือนของศาสดาพยากรณ์อบินาได) แซมิวเอลเน้นว่าการที่ชาวนีไฟปฏิเสธการกลับใจจะนำอนุชนรุ่นหลังของพวกเขาไปสู่ความพินาศ

ช่วยให้นักเรียนเข้าใจในระดับส่วนตัวว่ายังมีความหวังสำหรับทุกคนที่จะเลือกกลับใจ โดยผ่านการกลับใจเราจะได้รับการให้อภัยจากพระเจ้าและปกป้องจิตใจเราไม่ให้แข็งกระด้าง เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่าเราแก้ไขเส้นทางชีวิตของเราได้โดยผ่านการกลับใจ อ่านคำพูดต่อไปนี้จากประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ แห่งฝ่ายประธานสูงสุด

“ระหว่างที่ข้าพเจ้าอบรมเพื่อเป็นกัปตันสายการบิน ข้าพเจ้าเรียนรู้วิธีควบคุมเครื่องบินระยะทางไกล เที่ยวบินเหนือมหาสมุทรใหญ่ ข้ามทะเลทรายกว้าง และเขตเชื่อมต่อระหว่างทวีปจำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อให้แน่ใจในการเดินทางถึงจุดหมายปลายทางที่วางแผนไว้อย่างปลอดภัย เที่ยวบินตรงบางเที่ยวสามารถใช้เวลานานถึง 14 ชั่วโมงและครอบคลุมระยะทางเกือบ 14,400 กิโลเมตร

“มีจุดตัดสินใจที่สำคัญระหว่างเที่ยวบินระยะทางไกลซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า จุดกลับที่ปลอดภัย เมื่อมาถึงจุดนี้เครื่องบินต้องมีเชื้อเพลิงพอที่จะเลี้ยวกลับและไปถึงสนามบินที่ออกมาได้อย่างปลอดภัย หากบินเลยจุดกลับที่ปลอดภัย กัปตันจะสูญเสียทางเลือกนี้และต้องบินต่อไป นั่นคือสาเหตุที่มักเรียกจุดนี้ว่า จุดที่กลับไม่ได้

“… ซาตานต้องการให้เราคิดว่าเมื่อเราทำบาปเราข้าม ‘จุดที่กลับไม่ได้’ —นั่นสายเกินไปที่จะเปลี่ยนเส้นทางของเรา …

“… เพื่อทำให้เราสูญเสียความหวัง รู้สึกเป็นทุกข์เหมือนกับเขา และเชื่อว่าเรานั้นไกลเกินกว่าจะอภัยได้ ซาตานจะใช้แม้แต่คำจากพระคัมภีร์ที่เน้นถึงความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่ถูกต้อง เพื่อบอกเป็นนัยว่าไม่มีความเมตตา …

“พระคริสต์เสด็จมาเพื่อช่วยให้เรารอด ถ้าเราเลือกทางเดินผิด การชดใช้ของพระเยซูคริสต์สามารถทำให้เรามั่นใจว่าบาป ไม่ใช่ จุดที่กลับไม่ได้ การกลับที่ปลอดภัยอยู่ในวิสัยที่ทำได้ถ้าเราจะทำตามแผนของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อความรอดของเรา” (ดู “จุดกลับที่ปลอดภัย,” เลียโฮนา, พ.ค. 2007, 123)

  • คำปราศรัยของประธานอุคท์ดอร์ฟอาจให้ความหวังแก่ผู้ที่ทำบาปได้อย่างไร

กระตุ้นให้นักเรียนไตร่ตรองความจริงที่พวกเขาสนทนา กระตุ้นให้พวกเขาทำตามความประทับใจที่พวกเขาได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่อไป เป็นพยานว่าความสุขจะเกิดขึ้นแก่ผู้ที่ฟังคำเชื้อเชิญของพระเจ้าให้กลับใจ

หมายเหตุ: เตรียมเอกสารแจกสำหรับสามกลุ่มตามที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ในบทเรียน

กลุ่ม 1—ฮีลามัน 13:1–7, 11

ศาสดาพยากรณ์พูดข่าวสารที่พระผู้เป็นเจ้าทรงใส่ไว้ในใจของพวกเขา

  1. พระคัมภีร์ข้อใดที่ท่านรู้สึกว่าสอนความจริงนี้

  2. ข่าวสารอะไรที่พระผู้เป็นเจ้าทรงใส่ไว้ในใจของแซมิวเอล

  3. เหตุใดท่านจึงคิดว่าเป็นการยากที่แซมิวเอลจะประกาศข่าวสารนี้

  4. แซมิวเอลหวังว่าข่าวสารของเขาจะมีผลอย่างไรต่อชาวนีไฟ

  5. เมื่อใดที่ท่านเคยรู้สึกว่าบิดามารดาหรือผู้นำศาสนจักรได้รับการดลใจเพื่อให้ข่าวสารแก่ท่าน ข่าวสารนั้นมีอิทธิผลต่อท่านอย่างไร

  6. ท่านจะพบความจริงอะไรอีกบ้างในข้อเหล่านี้

กลุ่ม 2—ฮีลามัน 13:17–23

เมื่อเราไม่ระลึกถึงพระเจ้า เราจะตกอยู่ในอิทธิพลของความจองหองและความชั่วช้าสามานย์ได้ง่าย

  1. ท่านรู้สึกว่าข้อใดสอนความจริงนี้

  2. แซมิวเอลกล่าวคำสาปแช่งอะไรที่จะตกแก่ชาวนีไฟถ้าพวกเขายังคงอยู่ในความชั่วช้าสามานย์

  3. การลุ่มหลงความร่ำรวยของชาวนีไฟนำไปสู่บาปอะไรอีกบ้าง

  4. เยาวชนอาจมีใจจดจ่ออยู่กับอะไรบ้างที่นำไปสู่ความจองหองและบาป

  5. ท่านคิดว่าเหตุใดจึงสำคัญที่จะ “ระลึกถึงพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของท่านในสิ่งซึ่งพระองค์ประทานให้ท่าน” (ฮีลามัน 13:22)

  6. ท่านจะพบความจริงอะไรอีกบ้างในข้อเหล่านี้

กลุ่ม 3—ฮีลามัน 13:24–33

ถ้าเราปฏิเสธถ้อยคำศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า เราจะประสบกับความโศกเศร้าและโทมนัส

  1. ท่านรู้สึกว่าข้อใดที่สอนความจริงนี้

  2. จากที่แซมิวเอลกล่าว เหตุใดชาวนีไฟจึงปฏิเสธศาสดาพยากรณ์ที่แท้จริง

  3. ตามที่แซมิวเอลอธิบาย ท่านคิดว่าเหตุใดบางคนจึงยอมรับศาสดาพยากรณ์ปลอม

  4. คำสอนที่เจาะจงบางอย่างของศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่ยังมีชีวิตอยู่คืออะไร

  5. “คนนำทางที่เขลาและมืดบอด” (ฮีลามัน 13:29) ประเภทใดบ้างที่ศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่ยังมีชีวิตอยู่เตือนให้เราหลีกเลี่ยง

  6. ท่านจะพบความจริงอะไรอีกบ้างในข้อเหล่านี้

ข้อคิดเห็นและข้อมูลภูมิหลัง

ฮีลามัน 13:3 “เรื่องอะไรก็ตามที่เข้ามาในใจเขา”

ศาสดาพยากรณ์แซมิวเอลไม่ได้ตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะสั่งสอนอะไรแก่ชาวนีไฟ เราอ่านใน ฮีลามัน 13:3 ว่าเขาสอน “เรื่องอะไรก็ตามที่เข้ามาในใจเขา” ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองอธิบายว่าการเปิดเผยเช่นนั้นเกิดขึ้นกับเราบ่อยที่สุดอย่างไร

“การเปิดเผยมาเป็นคำพูดที่เรา รู้สึก มากกว่า ได้ยิน นีไฟบอกพี่ชายที่ดื้อรั้น ผู้ที่ได้รับการเยือนจากเทพว่า ‘พี่เกินกว่าจะ รู้สึก, พี่จึง สัมผัส พระวจนะของพระองค์ไม่ได้’ [1 นีไฟ 17:45; เน้นตัวเอน]

“พระคัมภีร์เต็มไปด้วยคำกล่าวเช่นนั้น อาทิ ‘พระองค์ทรงนำม่านออกไปจากจิตใจเรา, และทรงเปิดดวงตาแห่งความเข้าใจของเรา’ [คพ. 110:1] หรือ ‘เราจะบอกเจ้าในความนึกคิดเจ้าและในใจเจ้า’ [คพ. 8:2] หรือ ‘เราได้ทำให้ความนึกคิดของเจ้าสว่าง’ [คพ. 6:15] หรือ ‘จงพูดความนึกคิดที่เราจะใส่ไว้ในใจเจ้า’ [คพ. 100:5] มีพระคัมภีร์เหล่านี้หลายร้อยข้อที่สอนเรื่องการเปิดเผย” (“Personal Revelation: The Gift, the Test, and the Promise,Ensign, Nov. 1994, 60)

ฮีลามัน 13:23–29 การทำตามศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต

เอ็ลเดอร์ เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองเน้นถึงความสำคัญของการทำตามศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่ยังมีชีวิตอยู่

“พี่น้องที่รักโปรดใส่ใจเรื่องที่ผู้นำศาสนจักรได้สอนไว้ … จงประยุกต์ใช้คำสอนอันจะช่วยท่านและครอบครัว ขอให้เราทุกคนไม่ว่าจะมีสภาพครอบครัวเช่นไร จงนำคำสอนของศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกเข้าไปในบ้านของเราเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันและต่อพระบิดาในสวรรค์และพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าสัญญากับท่านในพระนามของพระเจ้า ข้าพเจ้าสัญญากับท่านในพระนามของพระเจ้าว่าถ้าท่านไม่เพียงแต่จะใช้หูฟัง แต่ใช้ใจของท่านฟังด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงแสดงความจริงให้ประจักษ์แก่ท่านในข่าวสารที่ท่านได้รับจาก [ประธานของศาสนจักร] ที่ปรึกษาของท่าน อัครสาวก ตลอดจนผู้นำท่านอื่นๆ ของศาสนจักร พระวิญญาณจะกระตุ้นเตือนให้ท่านรู้ว่าท่านควรทำสิ่งใดทั้งเป็นส่วนตัวและเป็นครอบครัว เพื่อจะทำตามคำแนะนำของเรา เพื่อประจักษ์พยานของท่านจะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อท่านจะมีสันติสุขและปีติ” (ดู “เจ้าจะรับคำของเขา,” เลียโฮนา, ก.ค. 2001, 97)

ฮีลามัน 13:38 ความสุขไม่อาจพบได้จากการทำความชั่วช้าสามานย์

แซมิวเอลเตือนชาวนีไฟว่าถ้าพวกเขายังคงแสวงหาความสุขจากการทำความชั่วช้าสามานย์ พวกเขาจะพินาศ เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์ แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนว่าความสุขมาจากความชอบธรรมเท่านั้น

“ท่านเคยสังเกตวิธีที่ซาตานครอบงำ ความคิดและอารมณ์โดยใช้ภาพบาดตา เพลงบาดหู และการกระตุ้นประสาทสัมผัสทางกายทุกอย่างจนเกินขอบเขตหรือไม่ เขาเพียรพยายามทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยเหตุการณ์น่าตื่นเต้น ความบันเทิง และสิ่งเร้าความสนใจ เพื่อให้เราไม่มีเวลาไตร่ตรองผลจากการเชื้อเชิญอันเป็นการล่อลวงของเขา ลองคิดดูเถิด บางคนถูกล่อลวงให้ฝ่าฝืนพระบัญญัติพื้นฐานที่สุดของพระผู้เป็นเจ้าเพราะเห็นว่าเหตุการณ์น่าตื่นเต้นเย้ายวนใจเป็นเรื่องยอมรับได้ เขาทำให้มันชวนมอง แม้แต่พึงปรารถนา ทำทีว่าไม่มีผลร้ายแรงแต่อย่างใด จะมีก็แต่ปีติและความสุขที่ดูเหมือนว่ายั่งยืน แต่จงเข้าใจว่าการแสดงเหล่านั้นควบคุมโดยผู้เขียนบทและนักแสดง ผลสุดท้ายของการตัดสินใจถูกบงการให้เป็นอย่างที่ผู้อำนวยการสร้างต้องการ

“ชีวิตมิได้เป็นอย่างนั้น จริงอยู่ สิทธิ์เสรีทางศีลธรรมเปิดโอกาสให้ท่านเลือกสิ่งที่ท่านต้องการ แต่ท่านจะควบคุมผลของการเลือกนั้นไม่ได้ ไม่เหมือนงานสร้างสรรค์จอมปลอมของมนุษย์ พระบิดาในสวรรค์ทรงกำหนดผลการเลือกของท่าน การเชื่อฟังจะให้ความสุขแต่การฝ่าฝืนพระบัญญัติจะไม่ให้” (ดู “วิธีดำเนินชีวิตให้ดีท่ามกลางความชั่วร้ายที่เพิ่มขึ้น,” เลียโฮนา, พ.ค. 2004, 102)

ฮีลามัน 13:38 “สายเกินไปอยู่เป็นนิจ”

ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์สอนว่า

“เป็นความจริงที่ว่าหลักธรรมสำคัญยิ่งของการกลับใจใช้ได้เสมอ แต่สำหรับคนชั่วและคนดื้อรั้นมีข้อจำกัดจริงจังในเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น บาปกำลังสร้างนิสัยและบางครั้งทำให้มนุษย์ไปถึงจุดอันน่าเศร้าที่กลับมาไม่ได้ ถ้าไม่มีการกลับใจจะไม่มีการให้อภัย และถ้าไม่มีการให้อภัยพรทุกประการของนิรันดรจะตกอยู่ในอันตราย เมื่อผู้ล่วงละเมิดถลำลึกในบาปลงไปเรื่อยๆ ความผิดฝังลึกลงไปมากขึ้นทุกขณะ และความตั้งใจจะเปลี่ยนมีน้อยลง เขาย่อมเข้าใกล้ความสิ้นหวังมากขึ้นทุกที และลื่นไถลลงไปเรื่อยๆ จนเขาไม่อยากปีนกลับขึ้นมาหรือไม่ก็หมดแรงที่จะทำเช่นนั้น” (The Miracle of Forgiveness [1969], 117)